รองหัวหน้า ปชป.ปฏิเสธข้อกล่าวหาซ้ำเติมอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์หลังถูกถอดถอน ยืนยันแนวคิดเสนอ คสช.ห้ามเจ้าตัวไปเมืองนอกพูดตามหลักการ ชี้ถูกปลูกฝังความคิดว่าตระกูลชินวัตรต้องถูกไล่ล่า แก้ยากเพราะถูกปลุกระดม เป็นอุปสรรคปรองดอง ด้านอดีต ส.ส.ปชป.อ้าง ส.ส.ไม่สังกัดพรรคเปิดช่องขายตัวในสภา ไร้หลักประกันพฤติกรรม แนะแจงเยอรมันโมเดลให้ทุกฝ่ายได้รู้
วันนี้ (25 ม.ค.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีอดีต ส.ส. และแกนนำเสื้อแดง ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ซ้ำเติม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังถูกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอนว่า พรรคเพื่อไทยอย่าคิดอะไรเลยเถิด เพราะโดยหลักของคดีใหญ่ๆ หรือบุคคลสำคัญที่ถูกตัดสินโทษในคดีร้ายแรง 90 เปอร์เซ็นต์ ศาลจะมีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยพิจารณาจากสถานภาพของจำเลย หรือผู้ถูกกล่าวหาซึ่งสามารถหลบหนีคดีได้ ศาลจะสั่งเช่นนั้น สิ่งที่ตนพูดถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ห้าม น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกราชอาณาจักรก็เป็นการพูดในหลักการไม่มีเจตนาซ้ำเติมอะไร อย่างที่บอกแม้แต่ตนก็ยังถูกห้าม และบุคลิกของตนก็ไม่ใช่คนประเภทนั้น เพราะเข้าใจในสถานการณ์ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีแกนนำเสื้อแดงเริ่มใช้วาทะกรรมไม่ได้รับความเป็นธรรม เกรงจะมีการปลุกปั่นและเข้าสู่วงจรความวุ่นวายอีกครั้งหรือไม่ นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ตนเคยแสดงความเห็นต่อ คสช.และรัฐบาล รวมถึงแม่น้ำทั้ง 5 สายไปแล้วว่าควรต้องแก้ 3 ปัญหาใหญ่ โดยทำความเข้าใจกับประชาชนก่อน คือ 1. ต้องอธิบายความหมาย หรือ คำจำกัดความของคำว่า “ประชาธิปไตย” แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็จะถูกบิดเบือนว่าดูถูกประชาชน ทั้งที่ความเข้าใจแต่ละสาขาอาชีพต่างกัน จึงมาถกเถียงและเข่นฆ่ากัน 2. ต้องอธิบายเรื่องความยุติธรรมว่าคืออะไรเพราะง่ายต่อถูกนำไปเบี่ยงเบนและปลุกระดมมวลชน คำว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม อยุติธรรม ใช้ปลุกคนในทุกยุคสมัยมาได้ตลอด ซึ่งนักรัฐศาสตร์บอกว่าคนในสังคมต้องเข้าใจพื้นฐานของความยุติธรรมที่ใกล้เคียงกันแล้วสังคมนั้นจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ประเทศไทยไม่เคยมีการอธิบายหรือเรียนรู้ในเรื่องนี้ คนจึงไร้วินัยและไม่เคารพกฎหมาย ฉะนั้นต่อให้ยกร่างรัฐธรรมนูญดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหนก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาสังคมไทยได้ หากไม่มีการแก้ความเข้าใจให้สังคมรู้ถึงความหมาย ประชาธิปไตยและความยุติธรรม และ 3. หลักเสียงข้างมาก ถือเป็นเรื่องที่แม่น้ำทั้ง 5 สายต้องเร่งทำความเข้าใจติดอาวุธทางปัญญาให้ประชาชนเพื่อจะได้รู้หลักและทำความเข้าใจได้ถูกต้อง
ส่วนกรณีที่คนของพรรคเพื่อไทยระบุว่ามีขบวนการไล่ล่าคนตระกูลชินวัตรนั้น นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า เขาถูกปลูกฝังมาอย่างนี้ จึงยากที่จะเปลี่ยนความคิดเพราะเขาถูกปลูกฝังมาเพื่อปลุกระดม หากเป็นเช่นนี้แล้วก็จะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดองเพราะความหมายของคำว่า “ปรองดอง” ของเขาคือทุกอย่างต้องเจ๊ากันไป หรือพูดง่ายๆ คือเซตซีโร่ หรือเริ่มนับใหม่ที่ศูนย์ แต่มันขัดกับหลักการปรองดองของสากลที่ต้องเริ่มตนจากพิสูจน์ข้อเท็จจริง ต้นเหตุของเรื่องใครถูกใครผิดแล้วใช้กระบวนการทางศาลตัดสิน เมื่อถูกลงโทษแล้วค่อยมาเสนอเรื่องนิรโทษกรรม โดยที่ผู้กระทำต้องยอมรับว่าได้ทำผิดหากเป็นเช่นนี้ตนไม่ขัดข้องและจะยกมือสนับสนุนให้ด้วย
“เช่นกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้ากลับเข้ามาประเทศไทยและยอมรับว่าที่ผ่านมาได้ทำผิดไปแล้ว ผมจะเป็นคนเสนอนิรโทษกรรมให้เลย แต่เขามองว่าเขาไม่ผิด เมื่อไม่ผิดแล้วจะมาขอนิรโทษกรรมทำไม เช่นเดียวกับกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถ้ายอมรับว่านโยบายจำนำข้าวที่ผ่านมาทำให้ประเทศชาติเสียหายจากการทุจริตจริง ถ้ายอมรับตรงนี้ผมก็จะเสนอขอนิรโทษฯ ให้เช่นกัน คนเราต้องยอมรับก่อนในเมื่อไม่ยอมรับผิดแล้วจะมาขอนิรโทษกรรมไปทำไม เหมือนที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยและ นปช.ไปรวบรวมรายชื่อประชาชนเป็นล้านคนหอบผ้าสีแดงแบกหามไปขออภัยโทษ แต่บังเอิญประธานในพิธีไม่ได้มีชื่อในชื่อเหล่านั้นด้วยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วจะพระราชทานอภัยโทษให้ใคร” นายนิพิฏฐ์กล่าว
ด้านนายวิรัช ร่มเย็น กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลสรุปการสัมมนาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน ระบุว่าหากไทยใช้ระบบเลือกตั้งแบบ ส.ส.สัดส่วนผสมตามเยอรมันโมเดล ก็จะได้รัฐบาลผสมที่ไร้เสถียรภาพทางการเมือง และการให้ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคจะสร้างปัญหาเพราะนายทุนจะครอบงำและซื้อตัว ส.ส.อิสระว่า ตนเห็นด้วยในข้อที่ 2 ที่ ส.ส.ไม่สังกัดพรรคจะถอยหลังเข้าคลองและย้อนไปสู่อดีตที่เคยเกิดปัญหาการซื้อตัว ส.ส.ในสภา ยิ่งกำหนดให้ ส.ส. ไม่ต้องฟังมติพรรคก็ยิ่งไร้หลักประกันในพฤติกรรมของ ส.ส. การลงโทษจากพรรคก็ไม่มีผล เพราะหากมีพรรคก็จะกลั่นกรองคนและให้ปฏิบัติตามข้อบังคับพรรค ตนฟันธงเลยว่าหาก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเลือกที่จะเบียนเช่นนี้ จะใช้คำว่าปฏิรูปไม่ได้เลย เพราะมีแต่จะเริ่มปัญหาทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีก
“ส่วนการเลือกตั้งในระบบเยอรมันโมเดล ถามว่าวันนี้ประชาชนหรือผู้สื่อข่าวเข้าใจระบบนี้มากน้อยเพียงใด แม้แต่ กมธ.ยกร่าง สปช. หรือ กกต.ที่จะจัดการยกร่างก็ยังไม่เข้าใจ จึงต้องเชิญเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเยอรมนีมาให้ความรู้ ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งใหม่ จำเป็นต้องให้ความรู้กับประชาชน ผมเสนอให้มีการจัดเวทีสัมมนาในเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะสูตรการคำนวณ ส.ส. สัดส่วนในบัญชีรายชื่อว่าคิดอย่างไรเพราะทุกวันนี้สังคมยังไม่รู้ หรือจะเลือกตั้งกันแต่กรรมาธิการยกร่างฯ เท่านั้น” นายวิรัชกล่าว