รายงานการเมือง
ความพยายามของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะใช้รัฐธรรมนูญเป็นยาวิเศษแก้ปัญหาชาติ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเรื่องปรองดองไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลกนี้ เพราะไม่เคยมีประเทศใดเขียนเรื่องปรองดองไว้ในรัฐธรรมนูญมาก่อน
แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย โดยกรรมาธิการยกร่างฯมีแนวทางที่จะกำหนดให้คณะกรรมการจากทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งมาทำงานร่วมกัน และเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิเสธจึงต้องกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เท่ากับเป็นการบังคับให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการปรองดอง ซึ่งแม้แต่กรรมาธิการยกร่างฯก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า เมื่อคนเหล่านี้มาเป็นคณะกรรมการร่วมกันแล้วจะเดินไปสู่เป้าหมายที่เรียกว่า “ปรองดอง” อย่างไร
นี่คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่คนมีอำนาจมักแก้ปัญหาในเชิงรูปแบบ ส่วนผลสัมฤทธิ์เป็นเรื่องที่ต้องไปตายเอาดาบหน้า และไม่กล้าที่จะเผชิญปัญหาที่แท้จริง โดยมีวิธีคิดที่ย้อนแย้งกันเองอย่างมาก เช่น
มีการระบุว่า ต้องประจานคนโกงเพื่อให้สังคมร่วมกันกดดันต่อต้าน แต่ถ้าเป็นความผิดของคนตระกูลชินวัตรกลับออกอาการกลัวไม่กล้าพูดถึง
มีการระบุว่า ปัญหาชาติเกิดจากประชานิยมบ้าคลั่ง จนถึงขนาดกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ในมาตรา 35(7) ให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการบริหารราชการแผ่นดินที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนระยะยาว
แต่ไม่กล้าบอกว่า ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ลิ่วล้อ และพรรคเพื่อไทย คือ ตัวการที่สร้างประชานิยมมอมเมาคนไทยจนชาติเกือบล่มจม
ความย้อนแย้งในลักษณะที่เรียกว่า ทฤษฎีดีแต่ไม่กล้าปฏิบัติ คือ สภาพปัญหาของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นอกจากจะทำให้การปฏิรูปไม่เกิดแล้วยังกลายเป็นช่วงเวลาฟักตัวของคนกลุ่มเดิมที่สร้างปัญหาให้ชาติรอการฟื้นตัวกลับมามีอำนาจใหม่อีกรอบ
เมื่อมีอำนาจก็แก้กติกาที่เป็นอุปสรรค เพราะปัญหาชาติไม่ได้อยู่ที่กติกา แต่เป็นเรื่องของคนที่เข้ามาใช้อำนาจไม่มีความละอายต่อบาปจนสามารถทำชั่วได้ทุกอย่างโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายเพราะคิดว่า “อำนาจ” อยู่เหนือทุกอย่าง
การที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคิดที่จะใช้รัฐธรรมนูญควบคุมไม่ให้มีการใช้วาทะสร้างความเกลียดชัง หรือเรียกกันว่า Hate speech โดยตื่นเต้นว่าเป็นเรื่องใหม่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้รัฐธรรมนูญใหม่ของประเทศไทยจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกที่มีการใส่ Hate speech ไว้ในกติกาสูงสุดของชาติ
ไม่เพียงเท่านั้นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ยังไปไกลถึงขั้นเขียนห้ามคนเกลียดชังกันไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่ โดยบัญญัติไว้ว่า “พลเมืองต้องไม่กระทำการที่ทำให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างคนในชาติ หรือ ศาสนา หรือ ไม่ยั่วยุให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เป็นปฏิปักษ์หรือใช้ความรุนแรงระหว่างกัน”
ถามว่ารัฐธรรมนูญจะไปบังคับไม่ให้คนใช้คำพูดยั่วยุ หรือห้ามคนเกลียดกันได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมของคนในสังคมซึ่งมีความซับซ้อนไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แต่เป็นเรื่องที่จะต้องตีความว่า อะไรคือยั่วยุ อะไรคือคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง
การเขียนรัฐธรรมนูญเช่นนี้นอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วยเพราะจะมีการตีความวุ่นวายว่ามีอะไรบ้างอยู่ในข่ายที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เพราะหากเขียนไว้กว้างๆ โดยไม่มีนิยามที่ชัดเจนก็จะถูกนำไปใช้เพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนจนกลายเป็นสังคมปิดปากไปโดยปริยาย ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้วยังเป็นแนวทางที่ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยที่ความสวยงามอยู่ที่ความเห็นต่างในสังคม
จากแนวทางที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญกำลังสร้างอยู่ในขณะนี้ แม้จะมีเจตนาดีแต่ไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ จึงควรกลับมาตั้งสติทบทวนและแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่กลไกในการลดความขัดแย้งอย่างที่คณะกรรมาธิการยกร่างฯเข้าใจ
ปัญหาชาติไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแตกแยกจากวาทะสร้างความเกลียดชัง หรือเรื่องประชานิยม การใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต ล้วนมาจากรากของปัญหาเดียวกันคือ ประชาชนขาดความรู้เพราะการให้ความจริงน้อยเกินไป
ถ้าคนไทยรู้ความจริงว่า ใครสร้างความเสียหาย นโยบายอย่างไรที่เป็นโทษและกระทบต่อชีวิตของคนไทย ย่อมทำให้การตัดสินใจเลือกตัวแทนมาใช้อำนาจมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็จะไม่ถูกปลุกปั่น ยุยง ด้วยข้อมูลเท็จ จนเกิดความเกลียดชังระหว่างกันเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ประเทศไทยพลาดโอกาสในการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดมาแล้วหลายครั้ง ถ้าไม่ต้องการซ้ำรอยเดิม สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือ ทัศนคติของผู้นำและคนที่มีอำนาจเกี่ยวข้องอยู่ในขณะนี้ โดยต้องตั้งสติทบทวนให้ดีว่า ที่มาของปัญหามาจากไหน ใครคือคนที่สร้างความเกลียดชัง ใครใช้อำนาจเกินขอบเขตจนกระทบไปทุกระบบ
ยังไม่สายที่จะหันกลับมาแก้ปัญหาที่สาเหตุ แต่ถ้ายังเดินหน้าไปตามแนวทางที่มโนกันอยู่ในขณะนี้ คนไทยคงทำได้แค่ “ปลง” เพราะไม่มีทาง “เปลี่ยน”