ประธาน สนช.วาง 6 เป้าหมายปฏิรูปประเทศ เผยแนวคิดยุบ-เพิ่ม กมธ. แตกประเด็นทำงาน คาด ก.ย.หมดโอกาสปฏิรูป ปลุก สปช.สร้างฐานข้อมูลที่เป็นจริง-เที่ยงธรรม ยอมรับมีคลื่นประชาชนวิจารณ์ หลังนำเรือออกมหาสมุทร
ที่โรงแรมเอเชีย ถนนพญาไท วันนี้ (19 ม.ค.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จัดงานสัมมนา “ประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย” ครั้งที่ 2 โดยนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. กล่าวเปิดการสัมมนาว่า หลายคนปรารภว่า สปช.ทำอะไรไม่มีเป้าหมาย ขอเรียนว่าเคยพูดไปแล้วเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 57 ในงาน “สานพลัง สปช.ออกแบบอนาคตประเทศไทย” ว่าปฏิรูปมีเป้าหมาย 6 ประการ คือ ปฏิรูปแล้วประเทศต้องมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเหมาะสมกับประเทศไทย ประเทศจะต้องมีความสุจริต มีกลไกที่ป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ขจัดความเหลื่อมล้ำ มีกลไลของรัฐที่ให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และปฏิบัติบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ขณะนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือจะทำอย่างไร นี่คือที่มาของการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้
“หลังจากงานนี้เชื่อว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญประจำ สปช. จะเหลือไม่ถึง 18 คณะ เพราะมีปัญหาหลายอย่างที่สัมพันธ์กันอยู่จนไม่อาจแยก กมธ.ได้ หรืออาจจะเกิด กมธ.ใหม่ก็ย่อมได้ อาจตีเรื่องให้แตกแล้วปิดตัวเอง แล้วจุดประเด็นใหม่ กมธ.อาจเล็กลง หรืออาจมี กมธ.และกรรมการชุดใหม่ๆ เกิดขึ้น”
นายเทียนฉายกล่าวว่า ในเดือนเมษายน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจะส่งร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกมายัง สปช. ซึ่งเราก็จะวุ่นวายเมื่อถึงเดือน พ.ค. ทาง สปช.จะส่งความเห็นให้ กมธ.ยกร่างฯ และมีเวลาทำงานปฏิรูปได้อีกไม่นานร่างรัฐธรรมนูญก็กลับมาอีก ตนเข้าใจว่าเดือน ก.ย. เราก็จะหมดโอกาสปฏิรูปที่เป็นเรื่องเป็นราว มีเวลาไม่กี่เดือนที่จะปฏิรูป ซึ่งถ้าทำอย่างนี้อยู่น่ากลัวจะทำไม่ทันเวลา เพระต้องเสร็จ 31 ธ.ค. 58
นายเทียนฉายกล่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย เคยระบุว่าหลังจากนี้จะมีคลื่นลมแรงมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นจะราบเรียบเหมือน 3 เดือนที่แล้วไม่มี เพราะเรานำเรือออกมหาสมุทรแล้วจะไม่ราบเรียบเหมือนนำเรือออกแม่น้ำ ทั้งนี้ หลายคนบอกว่าประชาชนเป็นแม่น้ำสายที่ 6 ซึ่งไม่ใช่ แต่ประชาชนคือมหาสมุทร แม่น้ำทั้ง 5 สายต่างหากที่ต้องไหลลงสุ่มหาสมุทร หมายความว่าหลังจากนี้อาจมีคนวิพากษ์วิจารณ์บ้าง บ้างก็ไม่เห็นด้วย เพราะฐานข้อมูลไม่จริง ซึ่ง สปช.ต้องทำฐานข้อมูลให้เป็นจริงและเที่ยงธรรม
นายเทียนฉายกล่าวว่า สังคมกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน สปช.ไม่ได้มีหน้าที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล เราอาจได้รับผลกระทบในมิติพลังงานมีการวิเคราะห์ว่าเป็นกระบวนการคัดเลือกให้เหลือผู้ที่ผลิตน้ำมันเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือต้องล้ม ฉะนั้นขออย่าได้กังวลและอย่านำปัญหาระยะสั้นมาเป็นธุระ
จากนั้น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สปช. ดำเนินรายการในหัวข้อ "สู่อนาคตประเทศไทย 2575 โดยนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธาน กมธ. วิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และออกแบบอนาคตประเทศไทย นำเสนอวิสัยทัศน์และการออกแบบประเทศไทย ศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยต้องก้าวไปสู่ประเทศที่ดีขึ้น สปช. ต้องทำหน้าที่ร่วมกับคณะกรรมาธิการ ทั้งในการให้เสนอแนะความคิดเห็นแก่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และกำหนดกรอบแนวทางในการปฏิรูปประเทศไทยในระยะเวลา 5 ปี 10 ปี 20 ปี โดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศของ สปช. จะออกมาในรูปแบบการทำงานของคณะกรรมการ คณะกรรมาธิการ ในการทำข้อเสนอการปฏิรูปเร่งด่วน (quick win) เพื่อเสนอครม. ต่อไป และข้อเสนอการปฏิรูปอื่นๆ เพื่อให้คนไทยเห็นเป้าหมายใหม่ร่วมกัน โดยยกตัวอย่างกำหนดกรอบวิสัยทัศน์ (vision) ในการพัฒนาประเทศในช่วงเสื่อมถอยและถดถอยของเกาหลี ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย
ทั้งนี้สปช. ต้องกำหนดกรอบวิสัยทัศน์ในการปฏิรูปประเทศไทยทั้งในระยะสั้น ระยะยาว มีองค์รวมในทุกมิติ และมีความเหมาะสมกับอัตลักษณ์ของความเป็นไทย สมเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของความเป็นชาติไทย ในทุกประเด็นทั้งในทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง สร้างความสมดุลในคนไทยเพื่อให้เป็นคนไทยที่สมบูรณ์ สร้างระบบคุณค่าใหม่จากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ต่อมานางพรรณสิรี อมาตยกุล กมธ.วิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และะออกแบบประเทศไทย นำเสนอกรอบการจัดทำวิสัยทัศน์ประเทศไทย โดยนำเสนอการนำนวัตกรรมด้านดิจิตัลมาใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ โดยยกตัวอย่างการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ประเทศไทยควรนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐควรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นช่องทางในการสื่อสารกับประชาชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในสังคม
ขณะที่ นางสีลาภรณ์ บัวสาย โฆษกกมธ. วิสามัญจัดทำวิสัยทัศน์และออกแบบประเทศไทย นำเสนอประเด็นไทยต้องปักหมุดประเทศในดินแดนสุวรรณภูมิและอาเซียน ไทยต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเพื่อนบ้านในสุวรรณภูมิ ไทยต้องก้าวไปเป็นส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิและอาเซียน พัฒนาศักยภาพในสิ่งที่มีร่วมกันให้เกิดการพัฒนาอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม แรงงาน เกษตรกรรม รวมไปถึงการท่องเที่ยว เพื่อก้าวไปสู่ความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ในภาคเศรษฐกิจ สังคม และภาคความมั่นคง ประเทศไทยต้องขยับไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทย ตลอดจนเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน โดยไม่ทิ้งรากเหง้าของความเป็นไทย ลดความเหลื่อมล้ำทั้งในระดับภายในประเทศและระหว่างประเทศ ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้บนความหลากหลาย จัดการทรัพยากรทั้งด้านพลังงาน การศึกษา รวมทั้งการจัดระเบียบพรมแดนร่วมกันเพื่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ ซึ่ง สปช. ต้องช่วยกันกำหนดเป้าหมายเหล่านี้ออกมาให้เป็นรูปธรรมให้ได้ โดยกำหนดเป็นแผนในระยะ 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี