รายงานการเมือง
พลิกไปพลิกมา กับกรณีถอดถอน “ค้อนปลอม” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา “ไวรัส” นิคม ไวยวัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ “ปูกรรเชียง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามกระแสข่าวลือที่กระฉอกออกมาเป็นระยะ
จากเดิมลือหึ่งว่า ผู้มากบารมีป้ายแดง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ส่งสัญญาณถึงกัลยาณมิตรในคาบสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ปล่อยผียกป่าช้า หลัง “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนรัก และ พล.ร.อ.ศิรวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายสุดเลิฟ ออกมาให้ข่าวในทำนองเดียวกันว่า สนช. ไม่มีอำนาจถอดถอน เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสุดลงแล้ว
เช่นเดียวกับองคาพยพในฟากฝ่าย “บิ๊กป้อม” ไม่ว่าจะเป็น “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชัน” หรือ “ป่ารอยต่อคอนเนกชัน” ที่นั่งเก้าอี้ สนช. สะบัดธงไปทางเดียวกัน จนถูกตีความไปในทิศทางดังกล่าว ทำให้โอกาสรอดของลิ่วล้อและน้องสาว “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สูงปรี๊ด เพราะเป็นที่ทราบกันว่า จำนวนเสียงของ สนช. สายลายพราง และสายเครื่องแบบเป็นเด็กในคาถาของพี่ใหญ่แห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์ทั้งนั้น
ในขณะที่ สนช. ซีกนักวิชาการ ข้าราชการ และอดีตกลุ่ม 40 ส.ว. แม้อยากจะฟาดฟันให้รู้แล้วรู้แร่ดกันไปข้าง แต่ปริมาณเสียงที่ต้องใช้ถึง 3 ใน 5 ของที่ประชุม หรือ 132 คน นั้นยากจะหามาได้ ยิ่งหากเกิดกรณีงดออกเสียงขึ้ นมายิ่งทำให้เสียงสนับสนุนลดฮวบไปอีก
ขณะเดียวกัน ฝ่ายยุทธศาสตร์ฝ่าย “บุ๋น” ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังประเมินด้วยว่า การปล่อยผีครั้งนี้จะไม่สร้างแรงกระเพื่อมจนทำให้อุณหภูมิของสังคมกลับมาร้อนแรงในฤดูหนาวได้ เพราะอารมณ์ของคนส่วนใหญ่ระอาวงจรม็อบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในช่วงที่ผ่านมา เต็มที่ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นน่าจะมีฝ่ายการเมืองที่เสี ยผลประโยชน์ออกมาฟาดงวงฟาดงาบ้าง แต่กระบองในมืออย่าง “กฎอัยการศึก” น่าจะสะกดอยู่
นาทีนี้นักการเมืองที่แกล้งตายต่างรู้ดีว่า การผลีผลามออกมาปั่นป่วน คสช. ที่มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในมือ ไม่ต่างอะไรจากการเอาไม้ซีกมางัดกับไม้ซุง เสี่ยงจะเจ็บตัว และหมดอนาคตทางการเมือง หากฝ่ายผู้มีอำนาจไม่พอใจใช้กลไกในมือเล่นงาน ดังนั้น ผลของการถอดถอนหรือไม่ถอดถอนจะเป็นกระแสแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น และจะหายไปในที่สุด
ทิศทางในช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายจึงทำใจตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่า คนชั่วต้องลอยนวลเพียงเพราะนโยบายปรองดองของผู้กุมสถานะอำนาจบริหารในปัจจุบัน
ทว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการถอดถอน ข่าวลือกลับตีกลับไปอีกทาง หลังมีกระแสว่า คสช. กำลังส่งซิกอะไรบางอย่างก่อนลงวันมติ โดยเฉพาะสัญญาณการปล่อยผีแค่บางตัวนั่นคือ “ค้อนปลอม” และ “ไวรัส” ในขณะที่บางตัวต้องอยู่เฝ้าป่าช้าต่อไปและนั่นคือ “ปูกรรเชียง”
เหตุที่กระแสพลิกมาอีกด้าน ส่วนหนึ่งมาจากการแอ็กชันจากรัฐบาลที่ออกมาพอดิบพอดีช่วงนี้ หลังน.ส.ชุติมา บุญยประภัสร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ หอบหลักฐานเข้าไปกองปราบเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าวสมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ และข้อหาฉ้อโกง มีผู้ต้องหากว่าร้อยราย โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท
ทำให้ สนช. บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว. แปรรหัสว่า นี่คือสัญญาณเชือด “ปูกรรเชียง” เพราะการเข้าแจ้งความเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว ที่มีความเสียหายเกือบแสนล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมค่าเสื่อมสภาพและอื่นๆ ที่ต้องสูญสิ้นไปโครงการดังกล่าว เพื่อให้สังคมได้รับทราบว่า การกล่าวหาที่ผ่านมามีพยานหลั กฐาน ไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง
ทฤษฎีปล่อยปลาซิวปลาสร้อย และจับปลาตัวใหญ่เคยมีการประเมินเหมือนกันว่า เป็นสูตรวิน - วิน ของผู้กุมอำนาจ โดยรักษาบรรยากาศทางการเมือง ไม่มีใครเสียและได้ทุกอย่าง ฝ่ายเพื่อไทย และ นปช. ไม่โดนล้างบางเหมาเข่ง ยังสามารถได้ไปต่อทางการเมือง ฝ่ายประชาธิปัตย์ และ กปปส. ไม่เหนื่อยฟรี อย่างน้อย “ปลาตัวใหญ่” อย่างคนในตระกูลชินวัตรถูกเชือดไปอีกหนึ่ง
แต่กระแสล่าสุดนี้ ยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่า เป็นการชี้นำของ สนช. สายชังระบอบทักษิณ ที่แปรรหัสเข้าข้างตัวเองหรือไม่ เพราะสมาชิก สนช. หลายคนที่มีรสนิยมไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มตอนชราภาพยังจับหลักแน่นด้วยการลงมติไม่ถอดถอนองคาพยพของ “นายห้างดูไบ”
อีกทั้งการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับคู่สัญญาของรัฐในโครงการรับจำนำข้าวครั้งนี้ อาจเป็นเกม “ลับ ลวง พราง” ของฝ่ายผู้กุมอำนาจก็ได้เช่นกัน เพราะการดำเนินคดีกับคู่สัญญาของรัฐอาจเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากฝ่ายปฏิบัติ ไม่ใช่ฝ่ายนโยบาย ซึ่งมี “ปูกรรเชียง” เป็นผู้นำรัฐบาล และเป็นการแก้เกี้ยวข้อครหาที่ คสช. อาจโดนกระแสตีกลับจากสังคมส่วนหนึ่งว่า เกี๊ยเซี๊ยะ กัน ปล่อยคนผิดลอยนวลทั้งที่ความเสียหายกองอยู่ตรงหน้าได้บ้าง
ดังนั้น การสั่งฝ่ายประจำลงไปไล่บี้พวกปลาซิวปลาสร้อยครั้งนี้ ในไทมิ่งที่สังคมกำลังจับจ้องกรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแบบบังเอิญ จึงอาจเป็นได้ทั้งสัญญาณ “เชือด” และ “ปล่อย” ซึ่งแล้วแต่ใครจะแปรรหัส
แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างหนึ่งว่า การส่งสัญญาณ “เชือด” เป็นไปได้ไม่น้อยเหมือนกันในภาวะแบบนี้ เพราะการตัดสินใจปล่อย “ปูกรรเชียง” ไปแบบง่ายดาย อาจสร้างผลกระทบหลายอย่างในภายภาคหน้า ทั้งในส่วนของคดีอาญากรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนก่อให้เกิดความเสียหาย ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับอัยการสูงสุด (อสส.) กำลังถกกันว่า ใครจะส่งฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ผลการไม่ถอดถอน “ปูกรรเชียง” ในชั้น สนช. จะทำให้พรรคเพื่อไทยนำมาตีกินเพื่อดิสเครดิตสำนวนคดีอาญาให้เบาหวิวลง แม้ในทางกฎหมายทั้งสองสำนวนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน และนำมาเป็นเหตุผลไม่ได้ แต่กระแสสังคมจะมองว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว สุดท้ายจะไม่มีใครต้องเซ่นสังเวยให้กับความฉิบหายในโครงการโคตรประชานิยมนี้เลย
ไม่ต่างจากบรรทัดฐานในการบริหารประเทศ ที่ต่อไปรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะย่ามใจนำนโยบายที่ก่อให้เกิดความเสียหายมโหฬารอย่างกับโครงการนี้มาทำต่ออีก เพราะต่อให้เจ๊งยับขนาดไหนก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะมีบทเรียนเรื่องนี้มาแล้ว ขัดแย้งกับแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ให้รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ระบุในทำนองป้องปรามนโยบายประชานิยม
ไม่ได้จบแค่ “รอด”