ผ่าประเด็นร้อน
ส่อแววเป็นมวยล้มต้มคนดู กระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ทำขึงขังเป็นยักษ์ถือกระบอง บรรจุเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมพร้อมกับยืนยันอำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวของตัวเองมาตลอดก่อนหน้านี้มีสิทธิ์กลายเป็นพิธีกรรมล้างผิดให้นักการเมืองขี้ฉ้อเสียแล้ว หลังกระแสข่าวแพร่สะพัดไม่หยุดว่า สมาชิก สนช. โดยเฉพาะซีกสายทหาร ซึ่งมีปริมาณกว่าครึ่งค่อนสภาอยากจะปล่อยผีล้างป่าช้า เพื่อความปรองดองของชาติ ไม่อยากจะทำให้เป็นชนวนลูกใหม่
กลายเป็นว่า กระแสสังคมที่กดดันให้ลงโทษคนโกงที่ส่งผ่านมาไปยังผู้มีอำนาจในปัจจุบันตั้งแต่ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนซี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ออกมาแง้มแนวโน้มจะปล่อยผีจนถูกมองว่า เข้าข่ายเกี้ยเซี้ยเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฝ่ายอำนาจในปัจจุบันยังยืนยันในจุดยืนเดิม ตลกร้ายเหตุผลบางคนยังน่าอับอายเพียงเพื่อไม่อยากเป็นศัตรูกับนักโทษชายทักษิณ เลยทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียให้มันจบๆ
ถึงบางอ้อกันเลยงานนี้วันแถลงเปิดสำนวนคดีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันศุกร์ถึงได้ดูมั่นอกมั่นใจ แถมยังขู่ฟ่อใส่ท่านผู้ทรงเกียรติกลางสภาแบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมว่า สนช. จะพิจารณาโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ไม่อยากเห็นกระบวนการถอดถอนเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญ 50 ยกเลิกไปแล้ว การถอดถอนก็ต้องยุติไปด้วย หากดำเนินการโดยไม่มีหลักนิติธรรม การปฏิรูปเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
มามุกปรองดองเหมือนกับที่ข่าวลือแพร่สะพัด สอดคล้องกันพอเหมาะเจาะ ตอกย้ำไม่มีมูลหมาไม่ขี้ เกมเกี้ยเซี้ยกันระหว่าง สนช. บางคนกับฝ่ายนักโทษชายทักษิณ ดูมีน้ำหนักขึ้นทันตา ต่อรองกันให้เห็นเลยว่า หากคิดจะถอดถอนแผนปรองดองที่ฝ่ายกุมอำนาจบางคนต้องการจะให้เกิดขึ้นหลังจากนี้มีอันล่มแน่ เพราะฝ่ายเสียประโยชน์ไม่ร่วมมือด้วย
นอกจากพฤตินัย ในทางนิตินัยกรณีซาวเสียง สนช. โอกาสจะสอยยิ่งลักษณ์ สมศักดิ์ นิคม ยังริบหรี่ด้วย เพราะต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 5 ของที่ประชุม หรือประมาณร้อยกว่าคนในการจะเขี่ยลิ่วล้อทักษิณพ้นวงโคจรทางการเมืองได้ แค่ สนช. สายทหารก็ปาเข้าไปเกินครึ่งสภา แถมส่วนใหญ่ยังเป็นองคาพยพสายป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เซนต์คาเบรียลคอนเนกชัน ที่หลักค่อนข้างชัดว่า จะให้ปล่อยผีโลด ต่อให้กลุ่ม 40 ส.ว. และนักวิชาการแพ็กกันแน่นแค่ไหน น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟอยู่วันยังค่ำ
แทบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น การตั้งกรรมาธิการซักถามยิ่งลักษณ์ สมศักดิ์ นิคม ต่อให้ดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน ก็แค่น้ำลายบูด ในเมื่อใช้ความรู้สึกอยู่เหนือกฎหมายกันไปแล้ว ดังนั้น 23 ม.ค. วันลงมติชี้ขาดไม่ต้องไปเสียเวลาพนันขันต่อกันให้เมื่อยตุ้ม อิสรภาพทางการเมืองของลิ่วล้อระบอบทักษิณยังอยู่ในเส้นทางครบทุกคน ผู้กุมอำนาจไฟเขียวสว่างโล่ง ตามนโยบายล้างผิดโจรเพื่อความปรองดองจอมปลอมนั่นแหละคำตอบสุดท้าย
ยิ่งเหลียวหลังแลหน้า มองไปดูแม่น้ำทุกสายของรัฐบาลชูประเด็นเรื่องปรองดองกันหมด แม้แต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ผู้กำหนดกติกาประเทศ ยังจุดพลุประเด็นนี้เหมือนกัน ตั้งคณะกรรมการศึกษากันเป็นเรื่องเป็นราว แถมจะเอาให้สำเร็จภายใน 4 ปี ในเมื่อรัฐบาลและ คสช. มีความเชื่อแบบนี้ มีหรือที่สนช. จะสวนทางเดินหน้าถอนรากถอนโคน
ขณะที่แรงกระเพื่อมของฝ่ายไม่พอใจ ทั้งค่ายประชาธิปัตย์ และแนวร่วม กปปส. ที่หลายฝ่ายกังวลว่า หากปล่อยผีอาจก่อม็อบขึ้นมาปั่นป่วนคนกันเอง หน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลมั่นอกมั่นใจว่า เอาอยู่ เต็มที่แค่ฟาดงวงฟาดงาด่าทอกันบ้าง ไม่น่าจะจุดติดลุกลามใหญ่โต เพราะอารมณ์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมยังอยู่ในสภาวะเหนื่อยหน่ายกับม็อบ ต้องการให้สถานการณ์นิ่งๆ เพื่อทำมาหากินกันตามปกติ คงไม่เฮโลกันออกมาตามคำเชิญ สุดท้ายกระแสจะค่อยๆ ซาลงไปเองตามวิถี
รัฐบาล และ คสช. ยังเชื่อว่า กระบองที่อยู่ในมืออย่างกฎอัยการศึก ยังศักดิ์สิทธิ์ สามารถงัดเอามาปรามได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กปปส. นักการเมืองมืออาชีพยังอยู่ในสภาวะขอเอาตัวรอด ไม่ขอแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่เสี่ยงออกมาลองของกับอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ เพราะรู้ดีว่าจังหวะเวลาขณะนี้ใจถึงไปก็มีแต่เสียกับเสีย ไม่มีทางชนะ เสี่ยงจะติดคุกติดตะรางหมดอนาคตทางการเมือง เต็มที่แค่ออกมาตีเกราะเคาะไม้กันบ้างเท่านั้น
จากนี้เลยต้องจับตาเส้นทางปรองดองในแบบฉบับพี่น้องบูรพาพยัคฆ์จะถูกทางหรือไม่ หรือจะกลายเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยจระเข้ลงน้ำ ต้องคอยดู แต่น่าหวาดเสียวมิน้อยหากย้อนดูบทเรียนในอดีตแนวคิดแบบนี้ล้มเหลวมาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้ง เพราะคนอย่างนักโทษชายทักษิณหากไม่ได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ หรือได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาท คืน ไม่มีวันเลิกราง่ายๆ ยังไงก็ต้องจองล้างจองผลาญให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อองคาพยพตัวเองกลับเข้าสู่อำนาจ มิวายต้องเดินแผนการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สุดท้ายประเทศก็วุ่นวายเหมือนเดิม เกิดการจองเวรกันไม่จบสิ้น
และการปล่อยผี ยิ่งลักษณ์ สมศักดิ์ นิคม ในชั้น สนช. อาจส่งผลกระทบต่อคดีอาญาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ซึ่งแม้ในทางกฎหมายการถอดถอนกับการดำเนินคดีอาญาจะไม่นับรวมกัน แต่มันจะกลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา ซึ่งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามเล่นแง่กับจุดนี้ตลอด เพื่อทำให้เป็นเรื่องเดียวกัน โดยพยายามเบรกให้ สนช. รอผลจาก อสส. ก่อนว่า จะส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้อง
หาก สนช. ลงมติไม่ถอดถอน เสร็จค่ายเพื่อไทยได้นำประเด็นถอดถอนไม่สำเร็จไปดิสเครดิตในคดีอาญาแน่ สวมบทศรีธนญชัยใช้มติ สนช. เป็นเครื่องการันตีว่า แม้แต่ สนช. ยังไม่ถอดถอน แล้วคดีอาญาจะไปดำเนินชอบธรรมได้อย่างไร
ไปๆ มาๆ ยิ่งลักษณ์อาจกลายเป็นคนที่ถูกหวยสองเด้ง ทำเจ๊งแต่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพราะนโยบายปรองดองของผู้มีอำนาจชุดนี้ !!!!