xs
xsm
sm
md
lg

ถอดไม่ถอดปูประยุทธ์ต้องเลือก

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ผลการลงมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 23 มกราคมที่จะถึงนี้จะเป็นการตอกย้ำว่ารัฐประหารครั้งนี้ทำเพื่ออะไร และจะช่วยอธิบายว่า ที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณเชื่อว่า เป็นรัฐประหารเพื่อจัดการกับระบอบทักษิณนั้นเป็นความจริงหรือไม่

และจะอธิบายว่า สนช.ที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะรัฐประหารนั้นสามารถแยกแยะระหว่างการปรองดองกับความผิดถูกได้หรือไม่ เพราะเริ่มมีเสียงออกมาอธิบายว่า ถ้าไปถอดถอนยิ่งลักษณ์แล้วจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดอง

สนช.ส่วนใหญ่โดยเฉพาะ สนช.สายทหารบอกว่า สิ่งที่ คสช.พยายามทำมาตลอดคือการลดความขัดแย้งเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ส่วนความพยายามในการปล่อยข่าวเพื่อให้ถอดถอนคิดว่าเป็นความพยายามของพวกมีความหลัง เพราะกระบวนการถอดถอนนั้นเป็นกระบวนการที่เปิดเผย จึงอยากให้ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจงตอบข้อซักถาม เพราะสนช.ส่วนใหญ่ต้องการที่จะรับฟัง ก่อนที่จะใช้ดุลพินิจในการลงมติ

ขณะที่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา คนสนิทพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่งคงยืนยันว่า “คสช.ไม่ได้มีใบสั่งมาให้สมาชิก สนช.ลงมติถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่อย่างใด การลงมติถอดถอนเป็นเอกสิทธิ์ของ สนช.แต่ละคน”

พูดตรงๆ ก็คือ พยายามบอกว่าไม่มีใบสั่งนั่นแหละ

ก่อนหน้านั้น พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายของประวิตร พูดมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ยกเลิกไปแล้ว ดังนั้นไม่สามารถถอดถอนยิ่งลักษณ์ได้อีก และบอกว่ายิ่งลักษณ์ไม่ได้ทุจริตแต่เป็นเรื่องของนโยบาย เหมือนพวกที่สนับสนุนฝ่ายทักษิณพยายามอ้างว่านโยบายเป็นสัญญาประชาคม ดังนั้นถ้ารัฐบาลทำผิดก็ไปรับผิดทางการเมืองคือประชาชนไม่ต้องเลือกมาอีก

คำถามว่า ถ้ารัฐบาลมีนโยบายทำให้ประเทศเสียหายเกิดการฉ้อโกงกันขึ้นเหมือนที่กระทรวงพาณิชย์ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว รัฐบาลไม่ต้องรับผิดโดยอ้างว่านั่นเป็นนโยบายหรือ

นโยบายของพรรคการเมืองที่ให้สัญญาประชาคมกับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติหลังจากได้รับอำนาจรัฐก็จริง แต่ถ้านโยบายส่งผลให้เกิดความเสียหายกับประเทศและมีคนจำนวนมากทั้งหน่วยงานรัฐและนักวิชาการออกมาเตือนแล้ว ทั้งยังมีการฉ้อโกงทุจริตเจ้าของนโยบายก็ควรจะต้องรับผิดชอบผลในทางอาญาด้วย

ตอนนี้ฝ่ายที่เคยออกมาไล่ยิ่งลักษณ์เริ่มกระฟัดกระเฟียดใส่ คสช.ว่า ถ้าไม่ถอดถอนยิ่งลักษณ์แล้วจะปฏิวัติทำไม แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องค์รัฏฐาธิปัตย์ ไม่เคยบอกเลยว่า ปฏิวัติเพื่อถอดถอนยิ่งลักษณ์หรือจัดการกับระบอบทักษิณ แต่มโนกันไปเองทั้งนั้น

แถมพล.อ.ประยุทธ์เขียนไว้ชัดในคำปรารภรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่า ต้องยึดอำนาจเพราะประชาชนออกมาชุมนุมจนเกือบจะปะทะกันทำให้กฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนลุกลามไปสู่แทบทุกภูมิภาคของประเทศ ประชาชนแตกแยกเป็นฝ่ายต่างๆ ขาดความสามัคคีและมีทัศนคติไม่เป็นมิตรต่อกัน บางครั้งเกิดความรุนแรง ใช้กําลังและอาวุธสงครามเข้าทําร้ายประหัตประหารกัน

ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่ายึดอำนาจเพื่อจัดการกับระบอบทักษิณ เขาโทษการออกมาชุมนุมของประชาชน (ไม่ว่าฝ่ายไหน) ด้วยซ้ำว่า เป็นเหตุผลที่ต้องทำให้ทหารต่อออกมาดับวิกฤตของบ้านเมือง

ผมยอมรับว่า สถานการณ์ก่อนการรัฐประหารนั้น รัฐประหารเป็นทางออกเดียวของบ้านเมือง เพราะการเมืองในสภาฯ เดินไปไม่ได้ เพราะยุบสภาแล้วไม่มี ส.ส. ไม่มีนายกรัฐมนตรีรักษาการเพราะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ร่วมกับรัฐมนตรีหลายคน ม็อบของ กปปส.เองก็เดินต่อไม่ได้ เพราะข้อเสนอให้ ส.ว.ตั้งนายกฯ คนกลางนั้น ไม่มีบทบัญญัติใดของกฎหมายให้ทำได้ แถมมวลชนก็ร่อยหรอลง เพราะต้องยอมรับความจริงว่า หลังหมดประเด็นเรื่องนิรโทษกรรมสุดซอยไปแล้ว แนวร่วมก็ลดน้อยลงเหลือแต่มวลชนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และส่วนใหญ่มาจากภาคใต้

และฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มใช้ความรุนแรงในการตอบโต้

พระสุเทพเองตอนนั้นก็พยายามประกาศตัวว่า ตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์เรียกให้คนโน้นคนนี้มารายงานตัว แต่ไม่มีใครมาจนกลายเป็นเรื่องขบขันเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องจริงไปได้

แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารแล้ว มวลชนส่วนใหญ่ของ กปปส.เชื่อว่า จะจัดการกับระบอบทักษิณ เพราะตอนนั้น การปฏิบัติต่อมวลชนเสื้อแดงและการเรียกคนเสื้อแดงมารายงานตัวมีท่าทีที่แจ่มชัดแข็งกร้าวมากกว่าฝ่ายที่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ ซึ่งผมคิดว่า จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะทหารหวั่นว่ามวลชนเสื้อแดงจะออกมาต่อต้านและเชื่ออยู่แล้วว่า มวลชนฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณคงให้การสนับสนุน จึงมีปฏิบัติการที่เข้มข้นกว่ากับฝ่ายเสื้อแดง

ซึ่งก็เป็นความจริงที่ช่วงแรกมีมวลชนเสื้อแดงออกมาต่อต้านอยู่บ้าง จนกระทั่งทักษิณออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องคนเสื้อแดงให้ความร่วมมือกับ คสช.นั่นแหละที่คงจะทำให้ คสช.มั่นใจว่า สามารถระงับการเคลื่อนไหวของมวลชนอีกฝ่ายได้ จนมีข้อครหาว่า รัฐประหารครั้งนี้เขามีการคุยกันแล้ว

แม้กระทั่งคนอย่างอานันท์ ปันยารชุน ยังออกมาพูดว่า “มีการพูดกันต่างๆ นานาว่า มีการตกลงกันนอกรอบ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้ายังสนใจทำเรื่องการปรองดองซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องแยกให้ถูก การปรองดองเรื่องหนึ่ง การเอาผิดลงโทษเรื่องหนึ่ง”

ส่วนมวลชนฝ่ายตรงข้ามทักษิณนั้น คสช.ไม่ห่วง เพราะมวลชนเชื่อว่า คสช.ออกมาจัดการกับระบอบทักษิณ โดยเฉพาะพระสุเทพถึงกับบอกกับมวลชนว่า เป็นพวกเดียวกัน

แต่ตอนนี้การถอดถอนยิ่งลักษณ์ที่กระบวนการมันเดินมาตามท่อส่งมาถึงมือ สนช.ว่าจะมีความเห็นอย่างไร ถ้าถอดถอนก็พิสูจน์ข้อครหาที่ว่ามีการพูดคุยกันแล้วได้ แต่ถ้าไม่ถอดถอนยิ่งลักษณ์มันก็จะยิ่งตอกย้ำเรื่องคุยกัน และมวลชนฝ่าย กปปส.ที่สนับสนุนการรัฐประหารก็จะได้เลิกมโนว่า รัฐประหารครั้งนี้เพื่อจัดการกับระบอบทักษิณและคงจะกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับการรัฐประหารครั้งนี้ทันที

แต่ถ้าถอดถอนยิ่งลักษณ์ก็ต้องรอดูว่าทักษิณจะส่งสัญญาณถึงคนเสื้อแดงอย่างไร

ซึ่งสิ่งที่ คสช.จะต้องทำก็คือ ไม่ว่าผลจะออกมาทางไหนจะต้องอธิบายต่อสังคมให้ได้ อย่าคิดเพียงว่า มีปากกระบอกปืนและกฎอัยการศึกอยู่ในมือ

ผมไม่เชื่อหรอกครับว่า คสช.จะไม่ส่งสัญญาณใดๆ ไปยัง สนช.ที่ตัวเองตั้งมากับมือ และให้อิสระในการลงมติครั้งนี้ แต่ คสช.จะต้องตัดสินจากความผิดหรือถูกไม่ใช่เลือกว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างไหนจะเกิดผลดีมากกว่า เสียง 132 เสียงหรือ 3 ใน 5 ไม่ใช่ปัญหา ถ้า คสช.เห็นว่ายิ่งลักษณ์มีความผิด

เรื่องการถอดถอนยิ่งลักษณ์นั้นออกตรงกลางไม่ได้ อยู่ที่ผิดหรือถูก ถอดถอนหรือไม่ถอดถอน จะอยู่ตรงกลางเพื่อให้เกิดความพอใจต่อประชาชนทั้งสองฝ่ายโดยอ้างความปรองดองไม่ได้แล้ว

อยู่ที่ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเลือกทางไหนเท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น