เกาะกระแส
00 ที่จริงก็ไม่อยากคาดการณ์ไปล่วงหน้าว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯจะไปชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในคดีถอดถอนจากโครงการรับจำนำข้าว โดย สนช.ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อทำการซักถามข้อข้องใจต่างๆ สำหรับ กรณีของ ยิ่งลักษณ์ มีกำหนดซักถามในวันที่ 16 ม.ค.หลังจากก่อนหน้านั้นหนึ่งวันมีการซักถาม นิคม ไวยรัชพานิช สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ในอีกคดีคือเรื่องการแก้ไข รธน.เกี่ยวกับที่มา สว.มิชอบ โดยเมื่อวันแถลงเปิดคดี สำหรับ ยิ่งลักษณ์ เธอได้เข้าไปอ่านโพยดรามา เค้นน้ำตามาเรียบร้อยแล้ว พูดกันแบบรู้ทันวันนั้นมีเป้าหมาย "ทางการเมือง"สร้างภาพว่านักประชาธิปไตย "คนของประชาชน"ถูกกลั่นแกล้งอะไรประมาณนั่นแหละ และที่สำคัญนั่นคือรายการอ่านโพยที่ลูกน้องเขียนเอาไว้ให้ไม่ต้องคิดเอง จึงไม่มีปัญหา แต่ในรายการวันที่ 16 ม.ค.ต้องตอบคำถามด้วยตัวเองนี่สิคือปัญหาใหญ่ ดังนั้นแม้ไม่อยากปรามาสล่วงหน้า แต่ก็ฟันธงได้เลยว่า"เธอไม่ไปหรอก"เพราะขืนตอบแบบไม่คิดหรือตอบแบบมั่วๆมันก็มีสิทธิ์เข้าตัวจะยุ่งกันใหญ่ อย่างไรก็ดีสำหรับเธอยังมีโอกาสมาอ่านโพยได้อีกครั้งสำหรับการแถลงปิดคดี ก่อนมีการลงมติชี้ขาด
00 อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาในกระบวนการของ สนช.ต้องมองในเรื่องทางการเมืองเป็นหลักคงไม่สามารถหวังผลอะไรได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากจำนวนเสียงของ สนช.แล้วดูแล้วมันไม่มีทางถึงสามในห้าคือ 132 อย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีการปล่อยข่าวออกมาว่า คสช.และรัฐบาลจะส่งสัญญาณไฟเขียวให้ถอดถอนแล้วก็ตาม เพียงแต่ว่างานนี้ถ้ามีการเปิดเผยออกมาให้เห็นว่ามีใครบ้างที่ออกมาประเภทค้านถอดถอน หรือแม้แต่งดออกเสียงแบบแทงกั๊กไม่ใช่สมองเปลืองเงินเดือนก็จะได้รับรู้กันไว้ โดยเฉพาะพวกบรรดาข้าราชการทั้งหลายระวังจะโดน"กระแสสังคมรุมประณาม"ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อความศรัทธาไปถึงคนที่แต่งตั้งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แน่นอน ถึงได้บอกว่าเวลานี้เริ่มนั่งไม่ติดกันแล้ว เพราะเป็นคำถามที่ปฏิเสธลำบากว่าในเมื่อความเสียหายมีให้เห็นอยู่ทนโท่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยังเคยพูดเองว่า มีมูลค่าถึง 6.8 แสนล้านบาท และล่าสุดปลัดกระทรวงพาณิชย์ก็เพิ่งนำเอกสารหลักฐานไปแจ้งความดำเนินคดีกับเอกชนที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้นไปก่อนจำนวนกว่าร้อยรายฐานยักยอกทรัพย์ มีข้าวเสื่อมสภาพ ด้อยคุณภาพ กว่า 3.8 ล้านตัว มูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาท เห็นแบบนี้มันก็ตอบลำบากเหมือนกันว่าระดับสั่งการระดับนโยบายไม่มีเกี่ยวข้อง ไม่ผิดและลอยนวลอย่างนั้นหรือ
00 อีกเรื่องที่น่าจับตาก็คือ มติสปช.ที่ไม่เอาด้วยกับ กมธ.ปฏิรูปพลังงานเสียงข้างมาก ด้วยคะแนนเสียง 130 ต่อ 79 ไม่เห็นด้วยกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 งานนี้จะเรียกว่าผิดคาด หรือหักหน้าแบบผิดคิวกันก็ว่าได้ เพราะกมธ.เสียงข้างมากดังกล่าวถือว่าเป็น"ขาใหญ่"ในวงการพลังงานที่มีความคิดครอบงำด้านพลังงานของไทยมานานแล้ว คนพวกนี้มีทั้ง ข้าราชการในกระทรวงพลังงาน นักวิชาการ ผู้บริหารในบริษัทพลังงาน หรทอแม้แต่อัยการที่ทำหน้าที่ฝ่ายกม.แต่ถูกตั้งเข้าไปเป็นบอร์ดในบริษัทพลังาน คนพวกนี้เข้าด้วยช่วยเหลือกันมาตลอด แต่ขณะเดียวกันแม้ว่าผลจะออกมาแบบนี้ แต่เมื่อฟังเสียงจาก รองนายกฯวิษณุ เครืองาม ที่ส่งสัญาณออกมาในทางตรงข้ามว่ารัฐบาลอาจไม่ทำตามมติสปช.ก็ได้ ชักสนุกขึ้นทุกวัน !!