ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ไม่ต้องมีการประเมินอารมณ์ความรู้สึกของสังคมผ่านทางโพลสำนักต่างๆ ก็น่าจะพอเดาออกว่าชาวบ้านส่วนใหญ่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรกับคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่สร้างความฉิบหายวายป่วงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท ทำให้คนไทยต้องชดใช้หนี้ตามหลังกันไปไม่น้อยกว่า 30 ปี ใช้หนี้กันชั่วลูกชั่วหลาน ตามที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี ได้เคยระบุเอาไว้ทำให้เห็นภาพเอาไว้
อย่างไรก็ดี จากความเคลื่อนไหวและปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ทั้งก่อนหน้านี้ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันก็ยังมีแนวโน้มให้เห็นชัดคนผิดยังส่อลอยนวล โดยฝ่ายที่มีอำนาจในเวลานี้มักจะพูดออกมาในทำนองว่า “ปรองดอง” ให้บ้านเมืองลดความขัดแย้งเพื่อเดินไปข้างหน้า
สิ่งที่เห็นได้ชัดในเวลานี้ก็คือ “คดีอาญา” ที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในคดีดังกล่าว กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังติดกึกอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของอัยการสูงสุดที่อ้างกันมานานแล้วว่า สำนวนยังไม่สมบูรณ์ต้องสอบสวนกันเพิ่มเติม แม้ว่าในช่วงหลังๆ มานี้จะมีการยืนยันมาหลายครั้งแล้วว่าใกล่จะสิ้นสุดแล้ว แต่ก็ไม่มีการระบุออกมาได้ว่าจะสิ้นสุดแบบไหน และเมื่อไหร่กันแน่ แต่ถึงอย่างไรแม้ว่าในขั้นตอนสุดท้ายถึงอย่างไรไม่ว่าจะยึกยักกันอย่างไรก็ยังเปิดช่องให้ ป.ป.ช. ฟ้องคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ผิดปกติอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่อาจเรียกว่าเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ก็คือ การที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์สวมเครื่องแบบข้าราชการหอบแฟ้มเอกสารเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับคู่สัญญาของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นภาคเอกชนประเภทพ่อค้าโรงสี เจ้าของโกดังทั่วประเทศรวมกว่าร้อยรายฐานยักยอกทรัพย์ จากการนำข้าวด้อยคุณภาพ เสื่อมสภาพ ข้าวสูญหายรวมกว่า 3.8 ล้านตัน รวมมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยปลัดกระทรวงพาณิชย์ย้ำว่าต้องการให้ตำรวจกองปราบปรามที่รับเรื่องไปสอบสวนาคนผิดจนถึงที่สุด หากเป็นข้าราชการเกี่ยวข้องก็จะส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป
ที่บอกว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าจับตา ก็คือ นี่เป็นการขยับจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด นับตั้งแต่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามา และต้องเข้าใจว่าการเข้าแจ้งความดำเนินคดีของปลัดกระทรวงพาณิชย์คราวนี้ย่อมต้องมีสัญญาณไฟเขียวจาก “เบื้องบน” ลงมา เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือรายการที่ “เพิ่งขยับ” ซึ่งใช้เวลาผ่านมานานหลายเดือนแล้ว แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณบวกอย่างหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ถัดจากนั้นไม่นานก็มี “รายงานข่าว” ตามมาว่า ทั้งรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ส่งสัญญาณไฟเขียวให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยเฉพาะสายข้าราชการลงมติถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ แม้ว่าต่อมาจะมีเสียงปฏิเสธออกมาจาก สนช. บางคนแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรมันยังสรุปอะไรไม่ได้ ว่าจะจริงหรือไม่จริง ต้องรอให้ถึงวันลงมติ จะได้เห็นกับตาเสียก่อน
อีกทั้งการปฏิเสธว่า สนช. ไม่ได้รับสัญญาณอะไรทั้งสิ้นก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง เพราะมีการยืนยันมาตลอดว่าให้อิสระในการตัดสินใจของสมาชิก แม้ว่าในความเป็นจริงนั้นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งหรือไม่ก็ตาม
อย่างไรก็ดี คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวถือว่าสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (สคช.) ค่อนข้างมาก และจะเป็นสิ่งชี้วัดความศรัทธาต่อฝ่ายอำนาจรัฐในเวลานี้ เพราะสังคมมีความคาดหวังสูงมาก
นั่นคือต้องนำตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ และคนผิดต้องได้ “ตัวใหญ่” เท่านั้น
ประกอบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศเอาไว้แล้วว่า ต้องปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังและเด็ดขาด ดังนั้น ในคดีทุจริตจำนำข้าวจะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุด
ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะกดดัน รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หนักขึ้นทุกวัน ซึ่งอีกไม่นานก็จะได้เห็นกันแล้ว !!