ผ่าประเด็นร้อน
ผิดคาดเหมือนกันกับการที่ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ชุติมา บุณยประภัศร ใส่เครื่องแบบข้าราชการเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับกระทรวงพาณิชย์กว่าร้อยราย ฐานยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง ทำให้รัฐเสียหายในเบื้องต้นประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท โดยข้าวที่ถูกนำมาเข้าโครงการรับจำนำล้วนเป็นข้าวด้อยคุณภาพ เสื่อมสภาพ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดจำนวน 3.6 ล้านตัน
การเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา โดยเธอนำเอกสารหลักฐานต่างๆ มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยย้ำว่าหากพบว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องกระทำความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนกรณีของข้าราชการ หากมีส่วนรู้เห็นหรือร่วมกระทำความผิดก็ต้องถูกพิจารณาดำเนินการทั้งวินัยและอาญา ซึ่งต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนดำเนินการ โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐก็อาจต้องถูกส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไป
ท่าทีที่แสดงออกมาครั้งนี้ถือว่าน่าจะเอาจริงเอาจังพอสมควร เพราะมีการมอบหลักฐานเอกสารให้ตำรวจกองปราบไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อ เพื่อหาผู้กระทำผิดทั้งเอกชนที่เป็นพวกพ่อค้าโรงสี แน่นอนต้องมีพวกหัวคะแนน พรรคพวกของฝ่ายการเมืองรวมอยู่ในนั้ยเกือบร้อยทั้งร้อย ซึ่งต้องร่วมมือกับข้าราชการทุจริต และคราวนี้เป็นการเปิดทางให้มีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป
ขณะเดียวกัน ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าการเข้าแจ้งความคราวนี้มีผลสืบเนื่องมาจากมติของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (กบข.) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ทำให้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าต้องมีความเคลื่อนไหวภายในบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และขนาดปลัดกระทรวงพาณิชย์สวมชุดข้าราชการไปแจ้งความให้เอาผิดกับคนโกงโครงการรับจำนำข้าว มีการเปิดเผยตัวเลขปริมาณข้าวและตัวเลขความเสียหายเป็นตัวเงิน มันก็น่าจะเป็นสัญญาณที่เดินหน้าเต็มตัวกันแล้วหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้เริ่มมีเสียงวิจารณ์กันอย่างหนักจากสังคมว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังปรองดอง ปาหี่กับเครือข่ายระบอบทักษิณ หรือเปล่า สังเกตได้จากท่าทีที่ไม่ได้จัดการกับการทุจริตรายใหญ่ที่เห็นความเสียหายมูลค่ามหาศาลอย่างโครงการจำนำข้าว ที่แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยระบุตัวเลขออกมาเองว่ามีมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 6.8 แสนล้านบาท ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี ก็กล่าวชวนให้คนไทยหดหู่ใจว่า “ต้องใช้หนี้กันชั่วลูกชั่วหลานไม่ต่ำกว่า 30 ปี”
เท่าที่เห็นก็คือ ยังไม่มีการดำเนินการเอาผิดกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับนโยบายอัปยศดังกล่าวโดยตรง ที่ผ่านมาชาวบ้านเริ่มไม่พอใจกับกระบวนการถอดถอนของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ทำท่าไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาจากจำนวนคะแนนเสียงที่รับเรื่องไว้พิจารณาถอดถอน เพราะเชื่อว่ามีคะแนนเสียงไม่ถึงสามในห้าคือ 132 เสียงพอที่จะถอดถอนพ้นจากตำแหน่งซึ่งจะส่งผลให้เธอต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
ที่น่าเจ็บปวดก็คือ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ลงมติคัดค้าน ขัดขวาง รวมไปถึงเสนอให้เป็นการประชุมลับ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ข้อมูลกลับเป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งมาจาก หัวหน้า คสช. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้า คสช. ที่มีบทบาทสูงยิ่ง เมื่อได้เห็นภาพที่ออกมาแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะให้สังคมต้องมองด้วยความเคลือบแคลงว่าไม่ได้จริงจังกับการปราบปรามทุจริตอย่างจริงจังตามที่ประกาศเอาไว้
อย่างไรก็ดี ล่าสุด เมื่อมีการแจ้งความดำเนิคดีกับคู่สัญญาของกระทรวงพาณิชย์ในโครงการรับจำนำข้าว มีการเปิดเผยตัวเลขจำนวนมหาศาลออกมาให้เห็นดังกล่าวข้างต้นก็ทำให้มีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะนี่คือใบเสร็จที่นำร่องเบิกทางไปเอาผิดในระดับถัดไป เช่นนักการเมืองไปจนถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากที่ผ่านมายืนยันแบบไร้เดียงสาว่าเธอไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น มีแต่ชาวนาได้ประโยชน์ ดังนั้น แม้ว่ากระบวนการสืบสวนเอาผิดจะมาช้าอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณบวกที่ดี เพราะถึงอย่างไรการทุจริตโครงการดังกล่าวเอาผิดให้ได้ และต้องเป็นตัวใหญ่ไม่ใช่แพะระดับกระจอกอย่างที่เคยมีมาให้เห็นในอดีต !!