xs
xsm
sm
md
lg

“วิชา” เปิดคดีถอดถอน หวังสังคมศรัทธา - “นิคม” โต้อ้างฝ่ายค้านตีรวนรีบปิดประชุมแก้ รธน.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่านไปแล้วเปิดสำนวนถอดถอน “นิคม - สมศักดิ์” แก้ รธน. ที่มา ส.ว. มิชอบ พบ “ชัชวาลย์” พยายามให้ประชุมลับ อ้างกลัวแตกแยก แต่ “กล้านรงค์” เบรกเพราะไม่เคยมี สุดท้าย 107 เสียงตอกหน้าหงาย “วิชา” แถลงเปิดสำนวน ชี้ผู้ถูกกล่าวหาแม้พ้นเก้าอี้แต่ก็มีโทษตัดสิทธิ์ 5 ปี หวังสังคมเชื่อมั่นศรัทธา ทำประเทศใสสะอาด ด้าน “นิคม” โต้กลับ อ้างฝ่ายค้านตีรวนเลยต้องปิดประชุม ตัดสิทธิ์สมาชิก 47 คนปแรญัตติ ย้อนถ้าประธานถูกสมาชิกด่าเลวจะโกรธไหม ด้าน “สมศักดิ์” ไม่ติดใจถูกอัดฝ่ายเดียว ประชุมซักถามสองฝ่าย 15 ม.ค.

วันนี้ (8 ม.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 12.25 น. ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธาน ได้มีการแถลงเปิดสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ดำเนินการถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ประกอบมาตรา 68 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 และการแถลงคัดค้านโต้แย้งสำนวนของนายนิคม (ผู้ถูกกล่าวหา)

ทั้งนี้ ก่อนเริ่มเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว พ.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ สนช. ได้เสนอญัตติให้ประชุมลับ โดยอ้างว่าแม้สถานการณ์บ้านเมืองเหมือนจะเข้าสู่ปกติ แต่ในความเป็นจริงกลับยังมีประชาชนที่เฝ้าติดตามที่แบ่งเป็นสองฝ่าย และหากปล่อยให้มีการประชุมในเปิดเผย ก็อาจนำมาความแตกแยกในบ้านเมือง ซึ่งตนเชื่อว่าจะสร้างผลเสียมากกว่าผลดีอย่างแน่นอน แต่นายกล้าณรงค์ จันทิก สนช. และอดีต ป.ป.ช. ขอหารือว่า วิธีการปฏิบัติในการถอดถอนไม่เคยมีการประชุมลับ สิ่งสำคัญสุดทั้งสองฝ่ายจะต้องเสนอข้อเท็จจริงเหตุผลหลักฐานเองให้เป็นที่ประจักษ์ หากมีการประชุมลับ ความเสียเปรียบจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ถูกร้องที่ไม่มีโอกาสชี้แจงให้ประชาชนทราบ จึงขอเสนอให้ถอนญัตติออกไป ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มิเช่นนั้นสภาแห่งนี้จะได้รับความเสียหาย

ประธานที่ประชุมจึงขอให้สมาชิกอภิปรายแสดงความเห็น นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สนช. กล่าวว่า การพิจารณาวันนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทย ที่ตนคิดว่าประชาชนทั้งประเทศกำลังติดตามเฝ้าดูจำนวนมาก จึงไม่น่าจะเป็นการประชุมลับ เพราะจะถูกชาวบ้านบอกว่าปิดหู ปิดตาประชาชน เราไม่ต้องกลัวอะไร เพราะมีหลักยึดมั่นอย่างเดียวว่า สนช. ชุดนี้ทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองประเทศชาติ ยึดหลักกฎหมายถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ฉะนั้นไม่ต้องกลัว

ขณะที่สมาชิกหลายคนอภิปรายสนับสนุนให้ประชุมอย่างเปิดเผย เพราะการอภิปรายครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ สนช. และเพื่อให้สังคม สื่อมวลชน รับรู้รับทราบข้อเท็จจริง ก็ไม่จำเป็นต้องมีประชุมลับ แต่ พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ยังยืนยันว่า ตนเสนอด้วยเหตุผล เหมือนการพิจารณาของศาล ทั้งสองฝ่ายนำเรื่องข้อเท็จจริงมายืนยันอยู่แล้ว แต่การนำข้อเท็จจริงของสองฝ่ายมีคนอยากรู้อยากทราบแน่นอน ส่วนตัวถือว่าการพิจารณาโดยเปิดเผยน่าจะมีประโยชน์ แต่สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่เหมือนกับในอดีต ยังยืนยันที่จะไม่ถอนญัตติ เพราะเป็นกรณีจำเป็นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะสำคัญ

นายพรเพชร กล่าวว่า มีสมาชิกจำนวนมาก เสนอชื่อขอแสดงความเห็นในเรื่องนี้ ตนไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งใน สนช. เพราะสิ่งที่กำลังพิจารณาอยู่ในความรับผิดชอบตามรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้สังคมกำลังรับฟังว่า ป.ป.ช. และผู้ถูกกล่าวหาจะว่าอย่างไร ตนยืนยันว่า จะทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง โดยจะควบคุมการแถลงทั้งสองฝ่ายให้ถูกต้อง โดยให้อยู่ในประเด็นคำร้องเป็นพยานหลักฐานที่อยู่ในสำนวน และไม่ใช่เป็นการเสนอพยานหลักฐานใหม่

นายสมชาย กล่าวว่า ในข้อบังคับการประชุม สนช. ข้อที่ 152 ระบุว่า การพิจารณาให้เปิดเผย เว้นแต่จำเป็นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะสำคัญ ถ้าจะประชุมลับก็ต้องยกเว้นข้อบังคับ และอดีตที่ผ่านมามีการดำเนินการถอดถอนหลายกรณีทั้งหมดทำโดยเปิดเผย ในที่สุดที่ประชุมได้มีมติ 107 เสียงต่อ 70 เสียง ไม่เห็นด้วยกับการประชุมลับ งดออกเสียง 19 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง

จากนั้น ที่ประชุมได้เข้าสู่วาระ โดยเริ่มจากนายวิชา มหาคุณ ตัวแทนฝ่าย ป.ป.ช. แถลงว่า แม้นายนิคม จะพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว แต่เนื่องจากการถอดถอนมีโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 จึงต้องป้องกันไม่ให้ผู้นั้นกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก แม้รัฐธรรมนูญ 2557 จะไม่ได้ระบุถึงการถอดถอนไว้โดยตรง แต่ในมาตรา 5 ก็เปิดให้มีการวินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองได้ และมาตรา 11 ก็ให้อำนาจ สนช. ในการเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยไว้ กระบวนการถอดถอนจึงต้องเดินไปตามหลักการเมืองการปกครองที่เคยมี

“ข้อห่วงกังวลที่ว่า กระบวนการถอดถอนอาจมีผลทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิรูปและการปรองดองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผมมองว่าตรงกันข้ามกัน เพราะกระบวนการถอดถอนนี้จะทำให้สังคมได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธา วางใจให้การปฏิรูปประเทศจะเป็นไปด้วยดีและเรียบร้อย จากการถูกปกครองโดยผู้มีจริยธรรมและคุณธรรมระดับสูงเหนือกว่าคนอื่นทั้งหมด นี่จึงเป็นหลักไมล์แรกที่จะเริ่มต้นทำประเทศของเราให้ใสสะอาด ปราศจากสิ่งที่ประชาชนไม่ไว้วางใจ” นายวิชากล่าว

นายวิชา กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 56 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการวุ่นวายทางการเมือง นำไปสู่การร้องศาลรัฐธรรมนูญ จนมีคำวินิจฉัยที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ออกมา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญหยิบยกการคุ้มครองเสียงข้างน้อยขึ้นมาอธิบาย ที่กลายเป็นรากฐานการตรวจสอบของ ป.ป.ช. โดยในสำนวนชี้มูลความผิดของนายนิคมคือ สั่งปิดการอภิปรายก่อนครบกำหนดเวลา และตัดสิทธิผู้ขอแปรญัตติกว่า 47 คน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. ส่อว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ 2550 และ กฎหมาย ป.ป.ช.

จากนั้น นายนิคมได้แถลงชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตอนหนึ่งว่า หากฝ่ายนิติบัญญัติถูกลบหลู่ ก็ไม่สามารถทำงานได้ ทั้งที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติคุ้มครอง ห้ามฟ้องร้องการทำหน้าที่ก็ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่มีแล้ว ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. จะตกไปโดยปริยาย ส่วนประเด็นที่ตนถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด คือ กรณีที่ตนรับญัตติปิดประชุม โดยที่สมาชิกหลายคนยังไม่ได้อภิปราย แต่ถ้าไปดูในเอกสารรายงานการประชุมก็จะเข้าใจว่า ทำไมตนจึงดำเนินการดังกล่าว และให้ดูว่าทำไมการพิจารณาเพียงมาตราเดียวได้ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงกว่า ทั้งที่มีผู้อภิปราย 13 คนเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ยื่นแปรญัตติส่วนใหญ่ล้วนยื่นแบบผิดหลักการ ไม่เป็นไปตามญัตติหลักของการพิจารณา ตนจึงไม่สามารถให้อภิปรายได้ เพาะการยื่นญัตติเช่นนี้เป็นเทคนิคและลูกเล่นของคนเล่นการเมืองมานาน พยายามตีรวนในทุกเรื่อง เป็นความพยายามที่จะแก้ไขกฎหมายอย่างเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อมีสมาชิกเห็นว่าการอภิปรายยืดยาวและครบประเด็นแล้ว จึงมีการเสนอญัตติให้ปิดอภิปรายตามข้อบังคับฯ ซึ่งตนก็ถามความเห็นในที่ประชุมว่ามีใครเห็นเป็นอื่นหรือไม่ โดยเสียงส่วนใหญ่ก็มีมติเห็นควรให้ปิดการอภิปราย เป็นการดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมทุกขั้นตอน

นายนิคม ยืนยันว่า ตนไม่ได้ละเมิดหลักยุติธรรม ข้อเสนอแนะของผู้ร้อง หรือทาง ป.ป.ช. ที่ถามว่าทำไมตนถึงไม่พักการประชุมเพื่อให้วิป 3 ฝ่ายไปประชุมกัน แต่ตนทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่สามารถละเมิดสิทธิที่เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกตามข้อบังคับการประชุม สิ่งที่ตนกระทำตามได้ยึดหลักของกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการในการตัดสินจะไม่อยู่บนหลักของกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ตนเข้าใจ และต้องมาชี้แจงด้วยตนเอง เพราะจำเป็นต้องรักษาสถาบันนิติบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไว้ ดังนั้น จึงขอให้ สนช. ใช้ดุลพินิจอย่างมีเหตุผล หากปล่อยให้องค์กรอื่นมาก้าวล่วง ถามว่าสมาชิกสภาที่กำลังทำหน้าที่อยู่ตอนนี้ต่อไปจะมีความปลอดภัยในชีวิตทางการเมืองหรือไม่ เพราะวันหนึ่งพวกท่านอาจจะมายืนอยู่จุดเดียวกับตนก็ได้

“ใครๆ ก็รู้ว่านิคม เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้นานที่สุด ไม่เคยมีใครทำได้ หลับตาท่องรัฐธรรมนูญและข้อบังคับได้หมด ผมทำหน้าที่ตามมติของที่ประชุม เหมือนกับสภาแห่งนี้ที่ทำหน้าที่ แต่สภานี้ถือเป็นสภาที่เรียบร้อย ไม่เหมือนสมัยผมเป็นสภาการเมือง ถือเป็นเวรกรรม การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมี 128 ชั่วโมง แต่ใช้ในการประท้วงไปแล้วถึง 50 ชั่วโมง ถูกเอาแฟ้มขว้าง หากเป็นท่านสุรชัย (เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานที่ทำหน้าที่ประชุมในขณะนั้น) ถูกด่าว่าไอ้เลวจะโกรธไหม จะควบคุมได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม วันที่กรรมาธิการจะดำเนินการซักถามข้อเท็จจริง ผมก็ยินดีที่จะมาให้ข้อมูลด้วยตัวเอง” นายนิคม กล่าว

ต่อมาเป็นขั้นตอนการแถลงเปิดคดีของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยฝ่ายนายสมศักดิ์ ไม่ติดใจแถลงคัดค้านการเปิดสำนวนถอดถอน จึงทำให้แถลงเปิดสำนวนเพียงฝ่ายเดียว

โดย นายวิชา ได้แถลงเปิดคดีแจกแจงถึงพฤติกรรมของนายสมศักดิ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2556 ก่อนที่นายสมศักดิ์ จะได้ลงนามเพื่ออนุญาตบรรจุร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส. ผู้เสนอญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มอบหมายให้ผู้ช่วยของตนนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับไปเปลี่ยนกับร่างฉบับเดิม ซึ่งนายอุดมเดช และคณะจำนวน 315 คน เป็นผู้เสนอเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2556 โดยมีการแก้ไขหลักการ ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวให้ ส.ว. สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันกันโดยไม่ต้องเว้นวรรค แม้จะอ้างว่าหลักการของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวคือการให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง 200 คน ก็เป็นเรื่องที่ต้องปรากฏอยู่ในส่วนของทั้งหลักการและเหตุผล เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของร่างรัฐธรรมนูญที่สมาชิกรัฐสภาได้ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้ออ้างของนายสมศักดิ์ที่ว่าเข้าใจโดยสุจริตว่าสามารถกระทำได้ โดยได้ถามเจ้าหน้าที่แล้วไม่อาจรับฟังได้ การกระทำของนายสมศักดิ์ ดังกล่าวถือว่าเป็นกระทำที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังรวมกับนายนิคม ตัดสิทธิ์ผู้สงวนการแปรญัตติและปิดการอภิปรายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสั่งปิดอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา รวมทั้งกำหนดวันการแปรญัตติไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยว่ามีความผิดไปแล้ว ดังนั้น การกระทำและพฤติการณ์ของนายสมศักดิ์ เป็นการกระทำที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 125 วรรคหนึ่งและวรรคสอง และมาตรา 291 อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 270 และมาตรา 274 ประกอบ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 56 มาตรา 58 มาตรา 61 และมาตรา 62

“คดีของนายนิคมและสมศักดิ์ถือเป็นอนาคตของชาติในการตรวจสอบทุจริตและประพฤติมิชอบของประเทศที่ไม่ใช่แค่รับสินบน หรือผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ แต่ยังหมายถึงจริยธรรมและคุณธรรม ที่เป็นหลักในการปกครองประเทศ ดังเช่น มหาตมะ คานธี นักต่อสู้สันติวิธีของประเทศอินเดีย เคยพูดไว้” นายวิชา แถลงการณ์เปิดสำนวน

รายงานข่าวแจ้งว่า สำรับกรรมาธิการซักถามการถอดถอนคู่กรณีในกระบวนการถอดถอนนายนิคมและสมศักดิ์ ได้กำหนดไว้ชุดเดียวกันจำนวน 9 คน โดยกำหนดวันประชุมซักถามคู่กรณีทั้งสองฝ่ายในวันที่ 15 ม.ค. โดย สนช. สามารถส่งคำถามได้วันสุดท้ายในวันที่ 12 ม.ค. และคาดว่าจะมีการลงมติการถอดถอนในช่วงปลายเดือน ม.ค. นี้












กำลังโหลดความคิดเห็น