“บิ๊กตู่” แจงปม สนช. มีคิวชี้ชะตาถอดถอน “ยิ่งลักษณ์ - 2 อดีต ปธ.” ไม่กระทบมั่นคง ชี้ ให้ดูผิด กม. หรือไม่ ปรองดองไม่ใช่ยกโทษทุกคน ลั่น ห้ามประท้วง แจง เลิกแต่ รธน. กม.ป.ป.ช. ยังอยู่ ให้ปล่อยตามกระบวนการ ยัน ไร้แรงกระเพื่อม ไม่ลำบากใจเคยร่วมงานอดีตนายกฯ ย้อนไม่ผิดจะถูกฟ้องทำไม ชี้ ผบช.น. ต้องรับผิดชอบ เสนอย้าย รองผกก.- ผกก. ปมป้ายโฆษณา ลั่น มีความผิดต้องลงโทษ เชื่อ ตร. รอบคอบ
วันนี้ (6 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีในวันที่ 8 มกราคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นัดประชุม สนช. ครั้งที่ 1/2558 ที่มีวาระสำคัญเปิดให้ชี้แจงกรณีถอดถอนพิจารณาวาระการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของ ส.ว. โดยมิชอบ และในวันที่ 9 มกราคม จะมีการประชุม สนช. ครั้งที่ 2/2558 ที่มีวาระสำคัญคือ การพิจารณาเพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ว่า “เรื่องนี้ไม่กระทบความมั่นคง เพราะต้องถามก่อนว่าคดีดังกล่าวเป็นความผิดหรือไม่ ทุกอย่างหากผิดกฎหมายคือผิด ตรวจสอบแล้วไม่ผิดกฎหมายก็คือจบ เพราะมีคนเสนอให้ตรวจสอบเพราะเป็นหน้าที่ ถามว่าไม่ตรวจได้หรือไม่ก็ไม่ได้ พอ สนช. ไม่รับก็เป็นประเด็น แต่พอรับมาก็มีกระแสอีกว่ารับมาทำไม เพราะประเทศอยู่ในขั้นปรองดองสุดท้ายต้องดูว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่
ส่วนการที่รัฐธรรมนูญ 2550 ถูกยกเลิกไปแล้วนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่รู้ มันเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่รับผิดชอบไปว่ากันใน สนช. ส่วนเรื่องความมั่นคงที่อยู่ในความดูแลของรัฐบาล ผมขอยืนยันว่าต้องไม่มีการประท้วง พวกคุณจะประท้วงไม่ได้จะมาตัดสินแทนว่าผิดว่าถูกไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่คนที่จะบอกว่าใครผิดใครถูกมันเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่ถ้าตัดสินแล้ว ไม่ยอมรับความผิดมาประท้วง ผมเอาเรื่องก็แค่นั้นเอง”
เมื่อถามว่าแต่ขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงการปรองดอง นายกฯ กล่าวว่า “ถ้าเราจะปรองดอง เราต้องยกโทษ ยกความผิดให้ทุกคนก่อนหรือไงมันไม่ใช่ เราต้องแยกแยะให้ชัดเจน ผมขอย้ำว่าใครทำผิดต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ถ้าทำผิดถูกลงโทษแล้วไปขอพระราชทานอภัยโทษมาเรื่องอื่นไม่ต้องมาคุยกับผมโดยเฉพาะเรื่องการนิรโทษกรรม อยากจะพูดก็พูดไปผมไม่รับรู้รับทราบอะไรทั้งสิ้น”
ส่วนการเชื่อมโยงคดีดังกล่าวให้กลายเป็นเรื่องการเมืองนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน คนเหล่านี้เป็นคนที่มีส่วนบริหารราชการแผ่นดิน คำถามคือเขาทำผิดกติกาหรือไม่ก็ต้องว่ากันตามกฎหมาย ถ้ามาอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ยกเลิกไปแล้วนั้นไม่ถูกต้องเพราะยังมีกฎหมายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ ดังนั้น ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ ซึ่งตนไม่ได้ยกเลิกกฎหมาย ป.ป.ช. ตนเพียงยกเลิกรัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนกฎหมายลูกยังคงไว้อยู่ทุกข้อ ดังนั้น อย่าเอามาเหมารวมเพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน เนื่องจากตนยกเลิกรัฐธรรมนูญเพราะตนต้องนำอำนาจมาใช้ 3 อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ดังนั้นกฎหมายใดๆ ที่นอกเหนือจาก 309 มาตราไม่มีการยกเลิกใดๆ ทั้งสิ้น ท้ายที่สุดต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะถ้ามาตัดสินกันเองสุดท้ายพอผลออกมาว่าไม่ผิดก็มาบอกตนเข้าข้าง ถ้าตัดสินว่าผิดก็บอกว่าถูกรังแกการเมือง หากเป็นแบบนั้นเราจะเอาอะไรไปเป็นบรรทัดฐานตัดสิน
เมื่อถามว่าการพิจารณาถอดถอนครั้งนี้ จะเป็นเหมือนระเบิดระยะเวลาความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าผลตัดสินจะออกมาอย่างไรเพราะมีหลายคดี ผมเป็นนายกฯ ชี้แนะอะไรไม่ได้หรอกว่ามันผิดหรือไม่ เพราะถ้ามาถามว่าผิดหรือถูกกับผมทั้งหมดแล้วจะให้ผมตอบก็ไม่ต้องตั้ง สนช. ก็ให้มีแค่ คสช. อย่างเดียวพอ แล้วหากเป็นอย่างนั้นผมตอบได้ทุกคำถามแน่นอน ดังนั้น วันนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม”
เมื่อถามว่ารัฐบาลสามารถทนแรงกระเพื่อมทางสังคมได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเรามีกฎหมายอัยการศึกควบคุมไม่ให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ ส่วนข้อกังวัลคลื่นใต้น้ำที่จะออกมาเคลื่อนไหวนั้นเราไม่สามารถไปห้ามความคิดใครได้ทุกคนมีอิสระทางความคิดแต่ต้องรู้ว่าควรแสดงออกตอนใดเวลาใด และสิ่งสำคัญเราต้องให้เวลาคนทำงานบ้างถ้าไม่อยากกลับไปสู่วังวนเดิม
เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ เนื่องจากเคยทำงานร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยกันมาก่อน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ลำบากใจ เพราะตนทำงานด้วยกฎหมายให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ได้ไปไล่ล่าฆ่าฟันใครทั้งนั้น ซึ่งขณะนี้เราปล่อยให้ทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตนเอง เพราะถ้าตนใช้อำนาจเต็มๆ หลายคนคงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน แต่ตนไม่ได้ใช้อำนาจอะไรทั้งสิ้น และปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น ทุกฝ่ายก็ต้องเข้ากระบวนการเช่นเดียวกันใครผิดก็ว่าไปตามผิดแล้วต้องรับโทษตามกฎหมาย
“ถ้าท่านคิดว่าท่านถูกก็ต่องสู้ตามกระบวนการท่านผิดท่านก็ต้องรับโทษก็แค่นั้นไม่ยาก แล้วถ้ามันไม่มีความผิดเขาจะฟ้องทำไมเพราะถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มีคนมาหาเรื่อง ใครจะมาหาเรื่องท่าน”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงถึงกรณีที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เสนอบัญชีรายชื่อข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบก. และ ผกก. ขอยกเว้นหลักเกณฑ์ในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2558 เข้าที่สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขออนุมัติยกเว้นหลักเกณฑ์แต่งตั้งโยกย้ายในการประชุม ก.ตร. วันที่ 7 ม.ค. ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม เป็นประธานการประชุม ก.ตร. โดยมี ผกก. และ รอง ผกก. ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องป้ายไฟโฆษณาอยู่ในข่ายถูกโยกย้ายออกนอก บช.น. รวมตัวร้องขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เพื่อให้ทบทวนการพิจารณาคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว ว่า เรื่องนี้ต้องไปดูว่าการโยกย้ายนั้นมีความผิดอะไร เป็นเรื่องของตำรวจที่เสนอเรื่องขึ้นมาก็เป็นการรับฟังโดยเป็นประเด็นว่ามีการกระทำความผิด ทางตำรวจก็มีการเสนอย้ายขึ้นมา
“ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย จะมีผลกระทบอะไร ผมบอกมาตลอดว่าอย่าเอาการกระทำความผิดที่ต้องได้รับโทษมาบอกว่าจะทำให้เกิดความไม่มั่นคง ไม่ได้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมองอย่างนี้มาตลอด วันนี้ไม่ได้ผิดก็คือผิดต้องถูกลงโทษแล้วจบ ต้องยอมรับกระบวนการลงโทษวันหน้าก็กลับมาทำงานปกติต่อไป คนเราต้องยอมรับความผิด ไม่ยอมรับแล้วจะเอาคนออกมาสู้กันหรือ เรื่องนี้ผมถามไปแล้วว่าจะมีปัญหาหรือไม่ ทางตำรวจยืนยันว่าไม่มีปัญหาทางตำรวจเขารับผิดชอบ ทาง ผบช.น.เขาก็ต้องรับผิดชอบเขาเป็นคนปรับย้ายขึ้นมา ตำรวจก็มีขั้นตอนการกลั่นกรองขึ้นมา ถ้ามีการฟ้องร้องศาลก็ไปต่อสู้ในศาล ถ้าไม่ทำแล้วมีคนฟ้องว่าละเว้นไม่ลงโทษแล้วจะทำอย่างไร ถ้าท่านเป็น ผบช.น.เป็น ผบ.ตร. จะทำอย่างไร หากมีผู้ทำผิดแล้วไม่ลงโทษ อย่าไปคิดเพียงข้างเดียวไม่ได้ แล้วอย่าเอามาพันกับความมั่นคง เพราะผมบอกแล้วว่าไม่ให้ใครทำให้เกิดความไม่มั่นคงทั้งสิ้น บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ทุกคนรู้อยู่ยังไม่ยอมลดราวาศอกกันอีก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว