xs
xsm
sm
md
lg

เปิดเวทีคนอกหัก ปิดจุดสกัดป่วน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

หลังรายชื่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โปรดเกล้าฯแต่งตั้งออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว 250 คน คลื่นใต้น้ำจากคนอกหักยังไม่ปรากฏเป็นพายุน้ำลายเหมือนก่อนหน้านี้

กระนั้นก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งเร่งเครื่องหาเวทีให้คนพลาดหวังได้เข้าร่วมขบวนรถไฟสายปฏิรูป เพราะต้องรีบปิดช่องโหว่ช่องว่าง ก่อนที่จะเป็นชนวนถูกหยิบมาเล่นแง่เป็นกระแสปั่นให้หัวหมุนได้

ที่ผ่านมา กระแสล็อกสเปกมาแรงถึงขั้นทำให้ คสช. ตั้งรับไม่ถูกกระบวนท่า โดนซัดหลายระลอก แต่ดีที่โครงสร้างข้อกฎหมายรัดกุมให้อำนาจหัวหน้า คสช. จัดการได้เบ็ดเสร็จ ไม่ต้องมาเสียเวลา ซึ่งก็เป็นวิธีที่ห้วนจนไม่มีคำอธิบาย แม้จะยันแบบเสียงแข็ง “ไม่มีล็อกแน่” แต่ก็ทำให้คนขาดความไว้เนื้อเชื่อใจที่จะนำสู่การปฏิรูป

ถ้าไม่เงี่ยหูฟังคนเหล่านี้เลย ก็อาจจะทำให้เสียหายในอีกหลายขั้นตอน จะกลายเป็นว่าบันไดขั้นแรกของการปฏิรูป ก็ไม่โปร่งใสเสียแล้ว

จะเห็นได้ว่าจากเวทีปฐมนิเทศคณะกรรมการสรรหาทั้ง 11 ด้าน และระดับจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ พยายามเน้นย้ำเรื่องโปร่งใส หลากหลายสาขาอาชีพ แต่สุดท้ายโฉมหน้าที่ออกมาก็กลับกลายเป็นกระจุกตัวในมวลหมู่ผู้มีชื่อเสียง นักวิชาการ นายทุนเสียส่วนหนึ่ง ไม่ได้หลากหลายอย่างที่ป่าวประกาศ เพราะคนฐานรากจริงๆ แทบจะไม่ปรากฏ

ดังนั้น เพื่อแก้จุดอ่อน คสช. และรัฐบาลต้องหามาตรการออกมาเยียวยาทางความรู้สึกของคนที่อยากมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศจริงๆ เพื่อไม่ให้ความกระแสของความพลาดหวังเหวี่ยงกลับมาเล่นงานคสช.ไม่อย่างนั้นถนนสู่การปฏิรูปจะกระท่อนกระแท่นเหมือนถนนลูกรัง ทำให้เส้นทางเดินสู่ปลายทางการปฏิรูปเป็นได้ยากลำบาก

ทันทีทันใดเมื่อการหารือระหว่างรัฐบาลกับ คสช. นัดแรกที่สโมสรทหารบก วิภาวดี ในวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา เสร็จสิ้นลง เราจึงได้เห็น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐนตรี ด้านกฎหมาย ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดทำรูปแบบเวทีสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกเป็น สปช. เพื่อให้เข้ามาทำงานร่วมกัน โดยเวทีจะอยู่ภายใต้ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นเวทีให้เฉพาะคนที่เข้ารอบสุดท้าย และผู้สมัครจาก 7,370 คน แต่จะไม่รับบุคคลที่ไม่ได้สมัคร สปช. แต่แรก

กวักมือเรียกเฉพาะคนที่ตั้งใจจะมาขึ้นรถไฟขบวนปฏิรูปประเทศเท่านั้น ส่วนพวกวงนอกที่ไม่สมัครใจมา ก็อยู่นอกวงต่อไป

ขณะเดียวกัน อีกฝากฝั่งหนึ่งที่กำลังว่างงานหลังจากกระบวนการสรรหา สปช. สิ้นสุดลง นั่นก็คือ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดย นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ออกมาเปิดเผยด้วยเช่นกันว่า บุคคลที่ไม่ได้รับการคัดเลือกเป็น สปช. รัฐบาลมีนโยบายจะนำเอาคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือกแต่มีความประสงค์ที่ช่วยเหลือในการปฏิรูปประเทศให้เข้ามาทำงาน โดย คสช. ไปประสานมายังสำนักงาน กกต. ว่าให้จัดทำประวัติและรายละเอียดของผู้ที่เสนอชื่อมาเป็น สปช. ทั้งหมดส่งให้ คสช. พิจารณาโดยด่วน เพื่อให้ คสช. ไปพิจารณาคัดเลือกอีกครั้ง

เสียงของทั้ง 2 คนนี้ การันตีได้ว่าเวทีปฏิรูปนอกเหนือจาก สปช. เกิดขึ้นแน่นอน

สูตรการปิดช่องว่างของคนอกหัก นอกจากจะสกัดกระแสความไม่พอใจได้ส่วนหนึ่งแล้ว ยังทำ คสช. ได้แต้มภาพลักษณ์ที่ดีในการเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ หลังจากเสียแต้มจากข่าวคราวการล็อกสเปกจนทำให้สังคมไม่ค่อยเชื่อถือและมั่นใจต่อการปฏิวัติสังคมในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม เรื่องกระบวนการคงเป็นแค่เพียงฉากหนึ่ง แต่บทพิสูจน์แท้จริงคือเนื้อหาการปฏิรูปต่างหากที่จะเป็นตัววัดความจริงใจของรัฐบาล คสช. ซึ่งเป็นที่คาดหวังจากสังคมอย่างมาก ไม่ใช่เพียงว่าการรวบรวมคนส่วนหนึ่งมาเพื่อเป็น “ตรายาง” ปั๊มบัตรผ่านสร้างความชอบธรรมให้ท่านอยู่ในอำนาจเท่านั้น

อย่าลืมภารกิจหลักในการล้างขั้วการเมืองเลว การคอร์รัปชันทั้งมีใบเสร็จไม่มีใบเสร็จ การทุจริตเชิงนโยบาย สภาร่างทรง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นโจทย์การปฏิรูป และต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จก็เสียเวลา เสียของ เสียแรงประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เปล่าๆ

ที่ต้องย้ำเตือนกับสิ่งเหล่านี้เพราะเห็นสภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กลายเป็นหง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่กล้าตัดสินใจถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เรื่องที่มา ส.ว. โดยมิชอบ แม้ว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติและส่งสำนวนคดีกลับมา สนช. ดำเนินการถอดถอนแล้วก็ตาม

โดยเฉพาะท่าทีของ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยังยึกยักอึกอัก วกวนอยู่กับคำถามเดิมๆ “มีอำนาจหรือไม่ ทำได้หรือไม่” ทำให้ สนช. เสียงแตกไปคนละทาง

กลายเป็นข้อปัญหาที่ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับอำนาจเก่า ทำให้ สนช. บางส่วนเกรงว่าถ้าตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว อาจจะกระเทือนถึงบรรยากาศการปรองดอง เพราะถ้าทำได้สำเร็จ จะส่งผลลุกลามไปจนถึงเรื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจถูกถอดถอนรายต่อไป และถึงขั้นหมดอนาคตทางการเมือง
กำลังโหลดความคิดเห็น