กว่า 4 เดือนที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำบรรดา “ขุนทหาร” เข้ามานั่งเป็นฝ่ายบริหาร การประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศเหมือนจะเป็นไปด้วยดี
เพราะ เปลือกนอกไม่เห็นรอยร้าวของบรรดา ครม.ที่ “บิ๊กตู่” เลือกมาด้วยตัวเอง การอนุมัติโครงการต่างๆผ่านไปได้ด้วย ไม่มีความขัดแย้งออกมาให้เห็น เพราะหากปรากฏภาพความขัดแย้งเมื่อใด “ครม.บิ๊กตู่” คงถูกจับตาทันที
หนำซ้ำคงมี “ผู้ไม่ประสงค์ดี” นำรอยร้าวไปขยายแผล-ขยายความขัดแย้งให้เห็นแจ่มชัด เพื่อเซาะเก้าอี้ใครบางคนได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะบรรดา “นายทุน” ที่ออกแรงร่วมทั้งฉากหน้า-ฉากหลัง ร่วมกันโค่นล้ม “รัฐบาลปูแดง” จ้องเสียบอยู่ รวมไปถึง “นายทุน” ไม่ช่วยออกแรง แต่ “จ่ายหนัก” ยังคอยดักรอโอกาสเข้าวินอยู่หลายคน
ตามเนื้อผ้าแล้ว “ครม.บิ๊กตู่” จะแบ่งตามโควต้าของ “บิ๊กตู่” ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาพี่น้องพรรคพวก ที่ส่วนใหญ่จะเป็น “นายพล” ที่ “ท่านผู้นำ” ไว้เนื้อเชื่อใจว่าจะเข้ามาช่วยงานได้ อาทิ “บิ๊กเจี๊ยบ - พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ “บิ๊กจิน - พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รมว.คมนาคม เป็นต้น
โควต้าของ “บิ๊กตู่” จึงถูกสงวนให้กับ “นายพล” คนรู้ใจเท่านั้น และต้องเป็นคนรู้ใจที่สามารถคอนโทรลให้ซ้ายหัน-ขวาหันได้เท่านั้นเช่นกัน โควต้าด้านเศรษฐกิจเป็นของ “หม่อมอุ๋ย - ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล” รองนายกรัฐมนตรี ที่พกพาลูกน้องคนสนิทมิตรสหายมารับตำแหน่งใน ครม. อาทิ “สมหมาย ภาษี” รมว.คลัง หรือ “จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช” รมว.อุตสาหกรรม เป็นต้น
หลังจากนี้จับตาว่ารัฐมนตรีในโควต้าของ “หม่อมอุ๋ย” จะอยู่รอดปลอดภัยได้นานสักเท่าใด เพราะระยะหลังเริ่มมีข่าวหลุด-ข่าวปล่อย ออกจากมือไม้ของ “บิ๊กตู่” บนตึกไทยคู่ฟ้าที่หวังจะนั่งคุมกระทรวงเศรษฐกิจว่าจะมีการปรับ ครม.ในช่วงต้นปี 2558 เพราะ “เสนาบดี” บางคนทำงานไม่เข้าเป้า โฟกัสไปที่รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ที่สอบตกกราวรูด โดยเฉพาะ “หัวหน้าทีม”
ผนวกกับเสียงปรามาสอย่างรุนแรงจาก “ขั้วตรงข้าม” ว่าทีมเศรษฐกิจของ “ครม.บิ๊กตู่” แทบที่จะก็อปปี้นโยบายของ “รัฐบาล นช.แม้ว-ปูแดง” โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือประชาชน อาทิ นาโนไฟแนนซ์ หรือการลดภาษีเอสเอ็มอี เป็นต้น
เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ใครเลย เพราะหากจำแนกดูแล้ว “สมหมาย” แปรเปลี่ยนเป็น “เป้าหมาย” ลำดับหนึ่งที่ “ขุนพล” ตึกไทยคู่ฟ้าต้องการเลื่อยขาให้พ้นจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ยังมีชื่อของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่ปรึกษาคสช. ที่แม้ตัวเองจะติดชนักไม่มีหวังได้เป็น แต่ก็ส่งมือไม้เข้าประกวดได้คอยเลื่อยขารัฐมนตรีสาย “หม่อมอุ๋ย” อีกแรง
ส่วนโควต้าของ “บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ส่วนใหญ่เป็นบรรดา “นักธุรกิจ” ในเครือข่ายที่รู้จักมักคุ้นกันดี เช่น “กอบกาญน์ วัฒนวรางกูร” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็น “สายแข็ง” ที่ยากจะโดนแซะออกจากวงโคจร เพราะถือว่ามีความสัมพันธ์กับ “บิ๊กตู่” อย่างเน้นแฟ้น เหมือนพี่น้องคลานตามกันมา
ทว่าระยะหลังเริ่มมีเสียงลือหนาหูว่า “น้องตู่” ไม่ค่อยแฮปปี้กับ “พี่ป้อม” มากนัก เพราะมักจะอาศัยช่วงชุลมุนในการประชุม ครม. สอดไส้วาระที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งให้ “บิ๊กตู่” เซ็นต์หลายครั้ง
ล่าสุดลือกันว่า “บิ๊กป้อม” ชงชื่อทายาทนักธุรกิจดัง ที่เปิดตัวเป็น “สมาชิก กปปส.” อย่างชัดเจนให้ดำรงตำแหน่ง “รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ที่ยังว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง แต่เมื่อ “บิ๊กตู่” พิจารณาแล้วไม่เห็นด้วย จึงไม่ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง
ทำเอา “บิ๊กป้อม” ถึงกับโกรธควันออกหู
สุดท้าย “พี่ป้อม” ต้องเอ่ยปากทวงถามกับตัว “น้องตู่” เองถึงสาเหตุที่ไม่เซ็นต์คำสั่งแต่งตั้ง แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของ “บิ๊กตู่” กลับไม่เป็นอย่างที่ “บิ๊กป้อม” คิดเอาไว้
จิ้งจกกระซิบว่า “บิ๊กตู่” ตอบกลับทันควันว่า “นี่..ผมต้องเซ็นต์ทุกอย่างที่พี่เสนอมาใช่ไหม”
“บิ๊กป้อม” ถึงกับหน้าชาไปโดยปริยาย แต่ก็ได้แค่เก็บอาการไม่แสดงออกต่อหน้า “บิ๊กตู่” เพราะถือว่ามีตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” ถือเป็น “ผู้บังคับบัญชา”
แต่ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็แอบบ่นน้อยใจกับคนใกล้ตัวว่า “นี่ขนาดกูเป็นพี่มันนะ” วาทะของ “บิ๊กป้อม” แสดงถึงความอึดอัดใจพอสมควร
แถมระยะหลังมีข่าวหลุดจากวงประชุม ครม.ว่า บรรยากาศการประชุมระยะหลังเริ่มตึงเครียด เพราะรัฐบาลมีหลายปัญหารุมเร้า โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่แก้อย่างไรก็ไม่ตกเสียที โชคดีนิดนึงตรงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ทำให้ “รัฐบาล” พออาศัยใบบุญอ๋อมแอ๋มไปได้
แต่ “บิ๊กตู่” มักอารมณ์เสียใจวงประชุม ครม.อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งถึงขั้นทุบโต๊ะขึ้นเสียงด่ากราดกลางวงประชุม หากถกเถียงกันหนักก็ยิ่ง “ทุบโต๊ะ” ถี่ขึ้นอีก
รอยร้าวของ “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” แม้จะยังไม่ถึงขั้น “ร้าวลึก” แต่หากปล่อยนานวันไป “รอยร้าว” ขยายตัวออกได้ เสมือน “แก้วร้าว” ที่เริ่มจากรอยน้อยนิด จนบาดยาว-บาดลึก จนแตกในที่สุด
ซึ่งหากจะเทียบฟอร์ม-เทียบบารมี กันในวันนี้ “พี่ใหญ่” แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” อาจจะไม่ใช่ “บิ๊กป้อม” อีกต่อไปก็เป็นได้ เพราะชื่อของ “บิ๊กตู่” มีบารมี-มีอำนาจมากกว่าเสียแล้ว
ที่สำคัญหากบรรดาพรรคพวกที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน อย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. คิดจะหนุนหลังตั้ง “พรรคทหาร” ชื่อของ “บิ๊กตู่” คงจะดูดีกว่า “บิ๊กป้อม” เสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญ “บิ๊กตู่” ไม่มีเครือข่ายทาง “ธุรกิจ” ให้มาเฉียนเนื้อแบ่งโควตาให้เสียเก้าอี้ไปฟรีๆ
ชั่วโมงนี้ “บิ๊กตู่” คือศูนย์รวม “ขุนทหาร-นายพลทหาร-แกนนำมวลชน” หากจะกล้าหักกับ “บิ๊กป้อม” คงไม่ใช่ปัญหา