ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเปิดงานวิชาการ พระอัจฉริยภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับความมั่นคงของชาติ ยกในหลวงดุจพระประทีปส่องสว่างให้คนไทย ด้าน “ม.ล.ปนัดดา” ชี้ชาติหลงทางไปมากต้องกลับมาเดินบนถนนธรรมาภิบาลและพอเพียง ขณะที่รองสมุหราชองครักษ์ เผยทรงรับสั่งนำทหารตรวจสอบหมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่อีสาน แนะสร้างงานสร้างอาชีพชาวชายแดนใต้ ช่วยเหลือหมู่บ้านที่เข้าไม่ถึง
วันนี้ (11 ธ.ค.) ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย ถ.วิภาวดีรังสิต กทม. พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นประธานเปิดงานวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง “พระอัจฉริยภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับความมั่นคงของชาติ” เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 5 ธันวาคม 2557 ระหว่างวันที่ 11-12 ธ.ค. 2557 เพื่อให้ส่วนราชการของกองทัพไทยและพสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้รับทราบและตระหนักถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงคุณค่า รวมถึงแนวคิดตามโครงการพระราชดำริ และมีส่วนร่วมในการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีร่วมกันปกป้องและเทิดทูนไว้ ซึ่งสถาบันสำคัญของชาติ ทั้งนี้ภายในงานมีกิจกรรมการจัดนิทรรศการ การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ และการเสวนาทางวิชาการเรื่องพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านต่างๆ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ เข้าร่วมเสวนา
ทั้งนี้ พล.อ.วรพงษ์กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นดุจพระประทีปส่องสว่างให้คนไทยทั้งปวง ทรงจรรโลงชีวิตราษฎร์ให้มีความผาสุกและทรงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ามาโดยตลอด อีกทั้งยังทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรอย่างไม่เคยหยุดหย่อน ทั้งนี้ ด้วยอัจฉริยภาพเลิศล้ำ สร้างความมั่นคงต่อประเทศชาติ เราปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเป็นหนึ่งเดียวถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตาม กองทัพไทยเห็นความสำคัญจึงได้ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆจัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และร่วมกันปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักของทุกคนให้คงอยู่กับประเทศชาติ
ด้าน ม.ล.ปนัดดากล่าวเสวนาตอนหนึ่งว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่เรารักและหวงแหน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีคำสอนจนนำมาเป็นหลักทฤษฎีมากมายด้วยพระอัจฉริยภาพ ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพรักและทรงพระคุณอันประเสริฐเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ชาวไทยและชาวอาเซียน ที่ผ่านมาประชาชนชาวไทยก็เป็นแบบอย่างความสามัคคีให้กับชาวอาเซียน แต่เราก็หลงทางกันไปมากในหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเราต้องกลับมาเดินบนถนนแห่งความถูกต้องและบ้านเมืองต้องมีธรรมาภิบาลเดินทางครรลองครองธรรม ยึดมั่นในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และมีไม่กี่ประเทศที่จะเรียกพระมหากษัตริย์ว่าพ่อ เวลามีปัญหาเกิดขึ้นเราต้องมาช่วยกันทำความเข้าในว่าปัญหาเกิดจากอะไรที่จะต้องเร่งแก้ไข การพัฒนานั้นต้องสร้างทั้งความเข้าใจและความเข้าถึงไปพร้อมกัน
ทางด้าน พล.อ.ณพลกล่าวว่า เมื่อครั้งรับราชการในกองทัพภาคที่ 2 ได้รับทราบถึงพระอัจฉริยภาพในด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ นับแต่การจัดตั้งหมู่บ้านตามแนวชายแดนให้ทหารเข้าไปฝึกอบรบชาวบ้าน ช่วยเหลือพัฒนาพื้นที่ ป้องกันปัญหาการลักลอบข้ามแดนตามช่องทางต่างๆ ตามปรัชญาการพัฒนาพื้นที่ที่ถูกถากถาง สกัดเส้นทางขนยาเสพติด ปิดกั้นแนวชายแดน สนับสนุนแผนป้องกันประเทศ ช่วยรักษาเขตต้นน้ำลำธาร รักษาป่าให้ราษฎร ช่วยควบคุมประชากรชาวเขา ช่วยประเทศเราให้มีแหล่งผลิตอาหาร สำหรับบริเวณชายแดนในเขตอีสานใต้ ทรงเน้นเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้เกิดชุมชน โดยให้ทหารกองหนุนสร้างหมู่บ้านรอบอ่างเก็บน้ำ เป็นการสร้างสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติป้องกันกองกำลังจากชายแดนข้ามเข้ามา การสร้างถนนตัดเทือกเขาภูพาน ซึ่งหลังจากทำตามรับสั่งทำให้ผู้ก่อการร้ายในพื้นที่หมดไป
“ท่านรับสั่งว่าตามแนวชายแดนมีหมู่บ้านใดที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ ทหารควรเข้าไปดูและตรวจสอบ รุ่งเช้าท่านถือแผนที่และให้ผมพาไป ก็ขึ้นรถส่งวิทยุมาเครื่องหนึ่งแล้วบอกทางรถนำ ห้ามบอกว่าไปไหนเด็ดขาด หากมีตำรวจมายืนตามรายทาง ถือว่าความลับรั่ว ต้องพระประสงค์ที่จะเห็นของจริง ไม่ต้องการให้แต่งสี ตีกรอบ มายืนเข้าแถวต้อนรับเป็นจำนวนมาก ท่านมีพระประสงค์ที่จะทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่และทรงแก้ไขปัญหา ในพื้นที่อีสานได้รับพระมหากรุณาธิคุณมาก และการดำเนินการของทหารควรเป็นความลับ ไม่ควรแพร่งพรายว่าจะทำอะไร” พล.อ.ณพลกล่าว
พล.อ.ณพลกล่าวต่อไปว่า สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ พระองค์พระราชทานแนวทางหมู่บ้านผสมผสานให้ไทยพุทธและมุสลิมอยู่ด้วยกัน มีการสร้างงาน สร้างอาชีพ ถือว่าได้ผลดี ถือเป็นการใช้แนวทางเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แต่ปัจจุบันการเผยแพร่ความคิดแบบสุดโต่งเข้ามา การพัฒนาไม่มีความต่อเนื่อง หลายหมู่บ้านถูกปิดล้อมตามธรรมชาติ วัดถูกตีกรอบโดยมีซื้อทีดินโดยรอบไว้ จึงอยากให้ทางหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เข้าไปช่วยเหลือ นำงบประมาณเข้าไปช่วยประชาชนในบางหมู่บ้านซึ่งได้ทำเรื่องไปที่รัฐมนตรีว่ากากระทรวงกลาโหมแล้วเพื่อสานต่อแนวทางพระราชดำริให้ต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ความรุนแรงขยายตัวมากขึ้น จากตัวเลขที่กลุ่มหัวรุนแรงที่มี 20% อีก 50% เป็นกลุ่มที่ยังไม่แน่ใจว่ารัฐจะดูแลเขาได้ และ 30% เป็นฝ่ายรัฐ หากเราทำในส่วน 50% ให้มาเป็นฝ่ายเรา 20% หากทำได้สถานการณ์ก็จะดีขึ้น