ผ่าประเด็นร้อน
“สตง. จะไม่ทวงกับ ปตท. แล้ว แต่จะเอาผิดกับกระทรวงการคลัง และ กระทรวงพลังงาน ที่ไปยืนยันว่าได้รับคืนท่อก๊าซครบแล้ว แต่ สตง. ยังบอกว่าไม่ครบ แต่ทั้งสองหน่วยงานก็ไปยืนยันกับศาลปกครองอีกว่าได้คืนครบแล้ว”
นั่นเป็นคำพูดของ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ที่กล่าวเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม และปรากฏในสื่อ โดยเขายังเปิดเผยว่า ในวันที่ 3 ธ.ค. นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จะแถลงเพื่อให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบความเสียหายกรณีที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คืนท่อก๊าซให้กับประเทศไม่ครบ ทำให้เกิดความเสียหาย
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ยังย้ำว้า สตง. ไม่ต้องการทะเลาะกับบริษัท ปตท. ซึ่งที่ผ่านมายืนยันมาตลอดว่า การคืนท่อก๊าซให้กับประเทศตามคำสั่งของศาลปกครองแล้ว แต่จะให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ในฐานะที่ไม่ทำตามความเห็นของ สตง. ที่เห็นว่าบริษัท ปตท. ยังคืนท่อก๊าซให้กับประเทศไม่ครบ และทั้งสองหน่วยงานนิ่งเฉยไม่ยอมดำเนินการอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
แม้ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ เพราะได้รับรูัเรื่องราวมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าคราวนี้เป็นคำแถลงยืนยันออกมาจากผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่ตรวจสอบการใช้เงินของแผ่นดินอย่างเป็นทางการ
คำแถลงดังกล่าวของ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าวได้สะท้อนความอัปยศของระบบราชการไทย ข้าราชการไทย จำนวนมากที่แทนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ของประชาชน แต่กลับไปปกป้องกลุ่มทุน ไม่กล้าไปสืบสวน สอบค้นหาความจริง หรือกระทำการอย่างตรงไปตรงมา แต่กลายเป็นว่าร่วมกันปกปิด สมรู้ร่วมคิด จะเป็นเหตุผลที่ว่า “ปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน” หรือเปล่าเป็นคำถามที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกรณีบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ต้องคืนท่อก๊าซให้กับรัฐ ในนามกระทรวงการคลังผ่านทางกรมธนารักษ์ ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาทาง ปตท. มักจะอ้างว่าได้คืนทรัพย์สินไปครบถ้วนแล้ว และแจ้งไปยังศาลว่าทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว และต่อมาทางกระทรวงการคลัง ซึ่งในความเป็นจริงก็คือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท. กลับออกมายืนยันว่าได่คืนครบถ้วนแล้ว เหมือนกับการันตีความถูกต้องให้กับ ปตท. อีกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงกระทรวงพลังงานที่จนนาทีนี้ไม่รู้ว่ารักษาผลประโยชน์ของใครกันแน่ระหว่าง ปตท. กับคนไทย เพราะถูกระบุว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกันมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวน่าจบและเงียบหายไปกับสายลม เพราะเป็นการยืนยันความถูกต้องจากหน่วยงานของรัฐในฐานะที่เป็นเจ้าของและหน่วยงานกำกับดูแล แต่โชคดียังมีอีกหน่วยงานหนึ่งคือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่คอยตรวจสอบทวงถามความถูกต้อง จนทำให้เกิดการไล่บี้ให้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ข้อมูลความไม่ชอบมาพากล แบบนี้ยังได้รับมาจากอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่เปิดโปงพฤติกรรมของ ปตท. และผู้บริหาร ปตท. ให้สังคมได้รับทราบเป็นระยะ มีการเปิดเผยเอกสารสำคัญในลักษณะสมคบคิดกันเบียดบังผลประโยชน์ของคนไทย มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลภายในที่ได้รับรู้ถึงความมิชอบดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเปิดโปง ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ที่ผลักดันแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เมื่อปี 2550 เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ไม่มีจำกัดพื้นที่สัมปทานสำรวจและขุดเจาะ จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 2 หมื่นตารางกิโลเมตร โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทพลังงานบางแห่ง เช่น บริษัท เพิร์ลออยล์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่าเชื่อมโยง กับ ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น
สำหรับกรณีการคืนท่อก๊าซของ บริษัท ปตท. นั้น ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เคยเปิดโปงว่า ที่ผ่านมา สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเคยทำหนังสือทักท้วงว่ายังคืนทรัพย์สินให้กับรัฐยังไม่ครบถ้วนตามคำสั่งศาลปกครอง โดยทำหนังสือไปถึง ปตท. ที่มีการลงนามรับทราบไปแล้ว ทำหนังสือถึง กระทรวงการคลัง ถึงประธานสภาผู้แทนฯ ประธานวุฒิสภา ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ดำเนินการ ปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้
แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือ ทางผู้บริหาร ปตท. ตั้งแต่ ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด ปตท. และกรรมการบอร์ด ทั้งหมดรวมหัวกันฟ้อง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ฐานเปิดโปงเรื่องดังกล่าว อ้างว่าทำให้ ปตท. เสียหาย อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการฟ้องเพื่อ “ปิดปาก” อย่างไรก็ดี มองในมุมบวกถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะได้พิสูจน์ความจริงกันในศาล และให้สังคมได้รับรู้เสียทีว่าใครปกปิด บิดเบือน เบียดบังทรัพยากรของคนไทยไปเข้ากระเป๋า
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คำแถลงของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่ให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องน่าติดตามอย่างยิ่ง !!