“ประวิตร” แนะ สื่อต้องไม่ทำให้ ปชช.เขว ยันรัฐเดินตามโรดแมป เมินเลิกประกาศ คสช. 97/103 ชี้ “ประยุทธ์” รู้ควรทำไง ย้อนการเมืองเมินสมัคร สปช. แต่ดันมาขอลดอัยการศึก เชื่อ หน.พรรคมีศักยภาพพอแนะยกร่างฯ ขอให้ฟังรายการนายกฯ ย้ำขอเวลาไม่นาน รธน.เสร็จ แจงนายกฯ ยังไม่ตั้งทีมคุยไฟใต้ พร้อมตกลงจีนปัญหาอุยกูร์ ก่อนเยี่ยม ทบ. ชมหนุนภารกิจรัฐ-คสช.ดี ย้ำดูแลสถาบัน สร้างปรองดองในชาติ ชี้อย่าห่วงเรื่องพัฒนาอาวุธ
วันนี้ (17 พ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ทหารเข้าไปขอความร่วมมือกับองค์กรสื่อต่างๆในการนำเสนอข่าวที่กระทบต่อการปฏิรูปประเทศว่า ขณะนี้รัฐบาลและคสช.กำลังดำเนินการเพื่อให้ประเทศเกิดความปรองดอง สิ่งใดที่ทำให้เกิดความไม่ปรองดองหรือเกิดความแตกแยก เราก็ไม่อยากให้ทำ อยากขอให้พักและรอไว้ก่อน ขณะนี้เรามีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการดำเนินการเรื่องนี้ซึ่งทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เคยบอกไว้แล้วว่า ขอให้รอ 1 ปี ตามโรดแมปที่ คสช.และรัฐบาลกำลังเดินตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน เพราะฉะนั้นตนก็ไม่ทราบว่า จะเร่งรีบไปไหน รัฐบาลชี้แจงมาโดยตลอดโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงทุกวันศุกร์ว่าขณะนี้รับาลกำลังทำอะไรและ คสช.กำลังทำอะไร ตนไม่เห็นว่าจะมีอะไรตรงไหนที่ทำให้เกิดความไม่พอใจและเกิดความแตกแยกขึ้น ดังนั้นอะไรที่จะทำให้ประชาชนเกิดความไขว้เขวและสับสนจะต้องไม่ทำทั้งสื่อและทุกหน่วยงาน
“จุดนี้ต้องให้รัฐบาล และ คสช.ได้ทำงาน ขณะนี้กำลังแก้ปัญหาทุกอย่างที่ผ่านมา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง กำลังทำให้เกิดความปรองดองไม่ให้เกิดความแตกแยก เรากำลังแก้หมดทุกอย่างเพราะฉะนั้นต้องเห็นใจ การที่จะทำให้ประชาชน หรือหน่วยงานไขว้เขวต้องไม่ทำ ผมไม่ต้องบอกว่า สิ่งใดล่อแหลมหรือไม่ล่อแหลม ไม่ต้องอธิบาย เพราะทุกคนต้องเข้าใจ รัฐบาลและคสช.ไม่ได้ดำเนินการนอกเหนือจากกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ผมอยากให้ทุกคนฟังนายกฯพูดเพราะถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้” พล.อ.ประวิตรกล่าว
เมื่อถามว่า โอกาสที่องค์กรสื่อเรียกร้องยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาล และ คสช.กำลังทำงานอยู่จะให้ไปยกเลิกอะไร สิ่งใดที่เห็นว่าสามารถผ่อนปรนได้ก็จะดำเนินการเอง คสช.มีคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ดูแลสถานการณ์ตลอด ไม่จำเป็นต้องมาบอก นายกฯ รู้ดีว่าช่วงเวลาไหนควรดำเนินการอย่างไร
เมื่อถามว่าทางพรรคการเมืองต้องการให้ลดระดับกฎอัยการศึกลงเพื่อให้พรรคการเมืองสามารถประชุมกันได้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า พรรคการเมืองก็เช่นกัน เราเปิดโอกาสให้มี สปช.และทำไมไม่ไปสมัคร เราเปิดดำเนินการให้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกับการปฏิรูป ยอมให้ทุกเรื่องแล้วทำไมต้องไปทำอะไรที่ขัดต่อกฎหมาย ตนไม่เข้าใจเมื่อเปิดรับสมัคร สปช.ก็ไม่มาสมัคร ให้เข้ามาชี้แจงก็ไม่มา อยากจะทำอะไรก็เสนอ สปช.ได้ที่เขาพร้อมจะดูแลทั้งหมด
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้พรรคการเมืองจัดประชุมพรรคเพื่อนำข้อมูลไปเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ข้อมูลเขียนเมื่อไหร่ก็ได้และก็ส่งไป ไม่จำเป็นต้องรวมตัวกัน 200-300 คน ตนเชื่อว่าหัวหน้าพรรคมีศักยภาพพอทางเราก็ไม่ได้ห้ามหัวหน้าพรรค ถ้ามีความสามารถในการเขียนหนังสือได้ก็ทำได้หมด
เมื่อถามว่าดูสภาพความมั่นคงภายในประเทศขณะนี้อย่างไรหลังจาก คสช.เข้ามาบริหารประเทศเกือบ 6 เดือน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนเห็นว่าบ้านเมืองก็มีความสงบ ทุกอย่างถ้าทำไปตามกฎหมาย และทำตามที่ คสช.และรัฐบาลแนะนำมันก็ไม่มีอะไร ขอให้ฟังนายกฯที่ทำงานเหนื่อยและพูดทุกวันศุกร์ ตนอยากให้ทุกคนฟัง เพราะเดี๋ยวนี้คนที่ฟังก็ไม่อยากฟังอีกแล้ว สมัยก่อนก็ว่าพูดดี นายกฯ อุตส่าห์ทำงานทุกอย่าง การทำงานนี่เพิ่งผ่านมา 4-5 เดือน ขอเวลาอีกไม่นาน พอรัฐธรรมนูญเสร็จก็ว่ากันไปเลย”
เมื่อถามย้ำว่า ดัชนีความสุขของคนไทยขณะนี้เป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตรย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า “แล้วคิดว่าดีหรือไม่ ถ้าผู้สื่อข่าวเห็นว่าดีก็ดี” ขณะที่ผู้สื่อข่าวตอบไปว่าพอไปได้ ทำให้ พล.อ.ประวิตรมีน้ำเสียงที่อ่อนลง
พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซียว่า การเดินทางไปครั้งนี้ได้มีการเตรียมข้อมูลทั้งหมด แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการจัดตั้งทีมงานเพื่อเดินทางไปพูดคุยสันติภาพกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะแต่งตั้งใครที่มีความเหมะสม
ส่วนกรณีที่ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนเรียกร้องให้ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทางจีนและทางไทยจะต้องมาตกลงกันว่าหากทางอุยกูร์ คืนสัญชาติแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และที่มีความเป็นห่วงว่าหากชาวอุยกูร์ กลับไปประเทศจีนแล้วจะไม่ได้รับความปลอดภัยนั้น ทางประเทศจีนรู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไรเพราะเขาเป็นประเทศมหาอำนาจ
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร พร้อมด้วย พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผบ.ทหารสูงสุดและ ผู้แทนผบ.เหล่าทัพ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมกองทัพบกโดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมในฐานะผบ.ทบ.พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบกให้การต้อนรับ จากนั้น พล.อ.ประวิตรได้ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ พร้อมสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่ห้องพระบารมีปกเกล้าฯภายในอาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ และประกอบพิธีถวายสักการะวางพานพุ่มพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ก่อนเข้ารับฟังบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานและมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้กองทัพบก
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า วันนี้ได้มอบนโยบายในเรื่องการดูแลสถาบันสูงสุดของประเทศ ที่ต้องสร้างความปรองดองให้กับประเทศและคนในชาติ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพกำลังพล พัฒนายุทโธปกรณ์ของกองทัพให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งกองทัพบกได้ดำเนินการอยู่แล้ว และให้กองทัพบกสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องนี้ทางกองทัพบกได้ดำเนินการอย่างดีมาโดยตลอด เพราะกองทัพบกเป็นหน่วยหลักที่ต้องดูแลความมั่นคงทั้งภายนอกและภายในประเทศ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนที่ได้จัดวางกองกำลังต่างๆ ในการดูแลเรื่องยาเสพติด เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน นี่คือภารกิจที่กองทัพบกต้องรับผิดชอบ
ส่วนในเรื่องการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพบกนั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า การพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ มีการดำเนินการเป็นระยะๆ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ไม่ใช่ว่าอยากได้ตอนไหนก็จัดซื้อได้ทันที กองทัพมีการวางแผนตามกรอบของนโยบายในการจัดซื้อจัดหาเพื่อพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่แล้วว่าจะพัฒนากองพล กองทัพอย่างไรฉะนั้นไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้