สะเก็ดไฟ
คืบหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง เมื่อที่ประชุมใหญ่ สภาปฏิรูปแห่งชาติ เมื่อวันอังคารที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา ลงมติเห็นชอบกับแนวทางการเลือกและสรรหาคนที่ สปช. จะเสนอชื่อไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่คณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปฯ หรือ วิป สปช. ชั่วคราว ชงมาให้ ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 165 ไม่เห็นด้วย 47 เสียง
โดยข้อเสนอกรอบการเลือก - สรรหาดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมใหญ่ สปช. เห็นชอบแล้ว ก็คือ จะให้ สปช. ทั้ง 11 กลุ่มตามที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามา เช่น กลุ่มการเมือง - กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม - พลังงาน - การบริหารราชการแผ่นดิน และกลุ่มจังหวัดที่เรียงตามภาค เช่น ภาคเหนือ - อีสาน - กลาง ไปประชุมแล้วเสนอรายชื่อสมาชิก สปช. ในกลุ่มนั้นว่าสมควรถูกคัดเลือกไปทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้โดยไม่จำกัดจำนวน
ซึ่งก็คือทุกกลุ่มจะเสนอชื่อกี่คนก็ได้ ไม่มีจำกัด ไม่ใช่แค่ให้เสนอกลุ่มละคนอย่างที่เคยมีบางฝ่ายเสนอไว้ก่อนหน้านี้ เช่นหากกลุ่มกฎหมาย มี สปช. ในกลุ่มอยากเป็น กมธ. ยกร่างกัน ร่วม 7 คนก็ให้เสนอมาได้เลย 7 คน ก็เลยจะได้ไม่ต้องมีความขัดแย้งกันเองในกลุ่ม นอกจากนี้ หาก สปช. คนไหนไม่ได้รับการเสนอชื่อจากเพื่อนในกลุ่ม หรือไม่อยากได้รับการเสนอชื่อโดยกลุ่ม แต่อยากเสนอชื่อตัวเองเลย ก็ให้ไปยื่นแจ้งความจำนง ยื่นใบสมัครได้โดยตรงเลย โดยขั้นตอนเรื่องการส่งรายชื่อและการสมัครต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเที่ยงวันพุธที่ 29 ต.ค. นี้ เพื่อสุดท้ายให้ที่ประชุมใหญ่ สปช. โหวตเห็นชอบรายชื่อกรรมาธิการยกร่าง รธน. ต่อไป
รายชื่อกรรมาธิการยกร่าง รธน. 20 คนของสภาปฏิรูปฯ ได้เห็นกันทั้งหมดในวันที่ 29 ต.ค. นี้
ขณะที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มีโควตา 5 คน ก็จะได้รายชื่อในวันที่ 30 ต.ค. ส่วนโควตาคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม 10 โควตา จะได้ในวันจันทร์ที่ 4 พ.ย. นี้ โดยมีข่าวว่าหลายรายชื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้ทาบทามหลายคนไว้แล้ว และยังมีการสั่งให้ตรวจสอบคุณสมบัติแล้วว่ามีคุณสมบัติอะไรต้องห้ามหรือไม่
ก็เป็นความคืบหน้าของการเตรียมคลอด “กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ที่จะต้องออกมาภายในไม่เกิน 4 พ.ย. นี้
เมื่อกำลังจะมี กมธ. ยกร่าง รธน. แล้ว ก็น่าสนใจตัวคนที่มาเป็นประธาน กมธ. ยกร่าง รธน. ซึ่งมีเรื่องต้องมาวิเคราะห์กัน กับมติของที่ประชุมใหญ่ สปช. เมื่อ 28 ต.ค. ที่มีมติด้วยคะแนนเสียง 175 ต่อ 39 ซึ่งไม่เอาด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. ชั่วคราว จนส่งผลให้ “คนนอก” ที่ไม่ได้เป็น สปช. ไม่สามารถถูกเสนอชื่อโดย สปช. ไปเป็นกรรมาธิการกยกร่างรัฐธรรมนูญได้
ผลของมติดังกล่าว ไม่ผิดหรอกที่จะบอกว่าคนที่ถลอกปอกเปิกมากที่สุด ก็คือ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ว่าที่รองประธานสปช. คนที่หนึ่ง และเต็งจ๋าประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้คนที่ออกตัวแรงหนุนแนวคิดนี้จะเป็น “เดอะจ้อน อลงกรณ์ พลบุตร” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการวิป สปช.
แต่รู้กันทั้งสภาปฏิรูปฯว่า คนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในเรื่องนี้ ก็คือ บวรศักดิ์ นั่นเอง หาใช่ อลงกรณ์หรือวิป สปช. เสียงข้างมากคนไหน
ถอดแนวคิดหลักดังกล่าว ของว่าที่ประธาน กมธ. ยกร่าง รธน. ได้ว่าเหตุที่หนุนแนวคิดนี้ เพราะมองว่าความขัดแย้งทางการเมืองของไทย อาจจะดำรงอยู่ต่อไป รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องไม่เป็นเพียงเอกสารที่ถูกตรา ว่า เป็นกติกาของผู้ชนะที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นจะต้องมีการเปิดโอกาสให้คู่ขัดแย้งเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญครั้งนี้ด้วย โดยยื่นมือไปให้คู่ขัดแย้งการเมืองที่สำคัญ 5 ฝ่ายหลักๆ เช่น พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาธิปัตย์ - กปปส.- กลุ่ม นปช. สภาปฏิรูป ที่เป็นกลไกสำคัญหนึ่งในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงควรต้องเปิดโอกาสให้คนนอกเข้าร่วมได้ แต่หากไม่ยอมจับมือด้วย หากอนาคตมีการต่อต้านหรือพูดง่ายๆ จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็จะได้พิจารณากันได้ว่า พอเขาเปิดให้มาร่วมแล้วไม่มาร่วม แต่ถึงเวลามีอำนาจจะมาขอแก้ไข ประชาชนก็จะได้พิจารณากันเอง
อ่านแนวคิดนี้ของ “บวรศักดิ์” ตามประสาชาวบ้าน ก็คือ ว่าที่ประธาน กมธ. ยกร่าง รธน. มองว่า สภาปฏิรูปต้องเป็นสภาเปิดกว้างก่อน พยายามดึงฝ่ายต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้ร่าง รธน. ฉบับใหม่มีความชอบธรรม หากยื่นมือไปแล้ว เขาไม่เอาด้วย แล้วมาอ้างว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นผลิตผลของเผด็จการทหาร เป็นผลไม้พิษของคณะ คสช. ถึงตอนนั้น หากมีการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเหตุผล ประชาชนก็จะได้ออกมาคัดค้าน ไม่เห็นด้วย ได้อย่างมีความชอบธรรมเช่นกัน
ถามว่าแนวคิดนี้ของบวรศักดิ์ดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี แต่ด้วยกรอบที่ดีไซน์ออกมา ก็ต้องยอมรับว่าไม่ตอบโจทย์การเมืองหลายอย่าง โดยเฉพาะการเมืองในข้อเท็จจริง เช่นที่บอกจะให้ตัวแทนพรรคการเมืองมาร่วมเป็น กมธ. ยกร่าง รธน. แต่เมื่อไปดูรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว บัญญัติว่า คนที่จะเป็นกมธ.ยกร่างรธน.ต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามคือ
“เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองภายในระยะเวลาสามปีก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้ง”
นั่นก็หมายถึงว่า การไปเอาคนของพรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ - เพื่อไทย หรือคนที่อยู่ใน กปปส.- นปช. ที่เป็นระดับคีย์แมนตัวจริง มาเป็นกรรมาธิการยกร่าง รธน. ก็น่าจะหาได้ยากมาก หรืออาจไม่ได้เลย เพราะการที่คนซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองมาก่อนหน้านี้เป็นเวลาสามปี ทั้งเป็นสมาชิกพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค แล้วจะมาเป็นตัวแทนพรรคการเมืองมาเป็น กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ มันหาได้ยากมาก หากหาได้ มันก็คือ “นอมินี” ที่คู่ขัดแย้งส่งมาเท่านั้น เพราะขนาดสมาชิกพรรคยังไม่เป็นแล้วจะมาอำนาจการตัดสินใจอะไรในนามพรรคได้ แล้วจะมาอ้างว่าเป็นความเห็นของตัวแทนพรรคการเมืองได้อย่างไร
หรือจะไปเอาพวกแกนนำ กปปส.- นปช. ที่เป็นระดับคีย์แมนจริงๆ เกือบทุกคนก็ล้วนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย เกือบทั้งสิ้น หากไม่ใช่ก็เป็นพวกที่เป็นแค่แนวร่วมเท่านั้น ไม่ใช่ระดับตัวแทนหรือแกนนำตัวจริงหรอก ไม่เชื่อไล่ดูก็ได้ อย่างเช่น ถาวร เสนเนียม วิทยา แก้วภราดัย เอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ชุมพล จุลใส ณัฐพล ทีปสุวรรณ หรืออย่างฝ่าย นปช. เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พวกนี้ก็เป็นอดีต ส.ส. ของประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ทั้งสิ้น ยังไงก็ไม่พ้นสามปีแน่นอน การหาตัวคนที่เป็นตัวแทนของสองพรรคนี้ แล้วก็เป็นพวกแกนนำ กปปส.- นปช. ด้วย มาเป็น กมธ. ยกร่าง รธน. จึงยากมากในความเป็นจริงทางการเมือง
ที่สำคัญในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง ประชาธิปัตย์ - เพื่อไทย - กปปส.- นปช. หรือกลุ่มอื่นๆ อีก เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา ที่ปฏิเสธการส่งชื่อคนเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ทั้งหมด ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมวงปฏิรูปของ คสช. มาตั้งแต่แรกแล้ว
ข้อเสนอของบวรศักดิ์ในความเป็นจริงแล้ว จึงเป็นข้อเสนอที่ “มโนทางการเมือง” นั่นเอง