ที่ประชุม สนช. 159 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ.สวนป่า ปรับเกณฑ์ขึ้นทะเบียน เพิ่มนิยาม “ของป่า” จาก 2 ชนิดเป็น 64 ชนิด สนช. ห่วงทุจริตสวมสิทธิ์ เสียสมดุลทางธรรมชาติ หวั่นเกิดพิพาทระหว่างชาวบ้านกับป่าไม้ อีกทั้งเสรีภาพกับความรับผิดชอบไม่สมดุลกัน
วันนี้ (22 ต.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สวนป่า พ.ศ. ... โดยมี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ชี้แจงหลักการว่า โดยที่ พ.ร.บ.สวนป่า พ.ศ. 2535 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมและเป็นอุปสรรคต่อการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการปลูกสร้างสวนป่า ประกอบกับปัญหาอุปสรรคในการแปรรูปไม้และการออกใบรับรองไม้ที่ได้มาจากการทำสวนป่า และความไม่ชัดเจนของสถานะของสัตว์ป่าหรือของป่าในสวนป่า
ดังนั้น จึงต้องสมควรแก้ไขหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนสวนป่า และปรับปรุงมาตรการในการกำกับดูแลและแก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อเป็นมาตรการในการส่งเสริมและจูงใจให้มีการปลูกสร้างสวนป่า ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และกำหนดบทนิยามของป่า จากเดิมที่สวนป่ามีแค่ 2 ชนิด แต่ของใหม่ได้เพิ่มขึ้นมาอีก 62 ชนิด เป็น 64 ชนิด เพราะที่ผ่านมาความต้องการไม้เพิ่มมากขึ้นหลังจาก 25 ปีที่ปิดป่า และ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มพื้นป่าเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2567 จากเดิมที่มี 32 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการส่งเสริมการค้าไม้ต่างประเทศให้นำไม้ซึ่งมีที่มาที่ไปแปรรูปขายไปยังต่างประเทศ และสอดรับกับการจัดสรรที่ดินให้เอกชนซึ่งบางพื้นที่ซึ่งไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ก็ให้ทำเป็นรูปแบบสหกรณ์ เพราะบางแปลงเหมาะกับการทำสวนป่าอย่างไรก็ตาม ยังมีข้อทีน่าเป็นห่วงและได้พยายามแก้ไขทั้งเรื่อง การจัดสรรที่ดิน การเปิดให้สามารถเคลื่อนย้ายไม้ได้ง่ายขึ้น หรือการอนุญาตให้ตั้งโรงเรื่อยไม้ในพื้นที่รายแปลงตามที่กำหนดเพื่ออำนวยความสะดวก
ที่ประชุมได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง เช่น นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช. เห็นว่า มีข้อกังวลคือ ลักษณะการออกโฉนดที่เกี่ยวข้องกับการทำสวนป่า ก่อนที่จะออกใบโฉนดหรือขึ้นทะเบียน ให้แต่ละพื้นที่เป็นพื้นที่ของสวนป่านั้น ควรตรวจสอบว่าในพื้นที่นั้น มีกรณีข้อพิพาททางกฎหมายหรือไม่ และจากการที่ในท้ายร่าง พ.ร.บ. ได้เพิ่มบัญชีไม้ท้าย พ.ร.บ. จาก 2 ชนิด เป็น 64 ชนิดนั้น อาจจะทำให้ระบบนิเวศโดยรวมเสียหายได้ ทำให้เสียสมดุลตามธรรมชาติได้
ส่วน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิก สนช. กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมให้มีพื้นที่ป่าและให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของป่า แต่ควรที่จะมีมาตรการในการป้องกันคนที่ทุจริตนำไม้มาสวมสิทธิ์ว่าเป็นไม้ที่มาจากสวนป่าเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
ด้าน นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิก สนช. ได้อภิปรายว่า ในร่างมาตรา 4 ของกฎหมายนี้ ตนคิดว่าอาจจะก่อให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และอาจจะส่งเสริมให้คนทั่วไปตัดไม้ มากกว่าการปลูกเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งตนเห็นว่าในร่างมาตรา 4 จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ และในร่างมาตรา 10 ที่ระบุว่า ในการทำไม้ที่ได้จากสวนป่า ผู้ที่ทำเป็นสวนป่าอาจจะตัดหรือโค่นไม้ แปรรูป ค้า และมีไว้ในครอบครอง ให้สามารถเคลื่อนย้ายไม้ผ่าด่านป่าไม้โดยไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้นั้น ตนเห็นว่า สภาพของคนไทยในเรื่องเสรีภาพกับความรับผิดชอบยังไม่สมดุลกัน จึงเกรงว่าจะเป็นช่องทางในการหลีกเลี่ยงทางกฎหมาย ซึ่งตนขอให้มีมาตรการในเรื่องนี้อย่างชัดเจนด้วย
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ อธิบดีกรมป่าไม้ ชี้แจงว่า การขึ้นทะเบียนสวนป่า ตามมาตรา 4 จะมีนายทะเบียนตามกฎหมายคือ ในเขตกรุงเทพมหานครจะเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ส่วนในต่างจังหวัดจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งจะมีกฎเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีกระบวนการขึ้นทะเบียนสวนป่าไม่ถูกต้อง ก็จะถูกนายทะเบียนเพิกถอน ส่วนการขนย้ายไม้จากสวนป่าจะมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่า ในสวนป่าดังกล่าว มีการปลูกไม้อะไรบ้าง มีการลงทะเบียนไม้ที่จะตัดอย่างเข้มงวด และมีการตอกเบอร์หรือทำเครื่องหมายสำคัญว่าเป็นไม้มาจากสวนป่า ตามหลักเกณฑ์ของร่าง พ.ร.บ. นี้ และการตัดไม้จากสวนป่า จะมีการออกหนังสือรับรอง เพื่ออำนวยความสะดวกตามด่านป่าไม้ต่างๆ
ส่วนการเพิ่มบัญชีไม้ท้ายร่าง พ.ร.บ. เป็น 64 ชนิด ที่สมาชิกฯ เกรงว่าจะกระทบระบบนิเวศนั้น ตนเห็นว่า ส่วนใหญ่คนที่ทำสวนป่าก็ปลูกพืชในท้องถิ่น ตามหลักวิชาการและภูมิประเทศอยู่แล้ว ซึ่งทางนักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ทางการเกษตร ได้ให้แนะนำแก่ผู้ที่ทำสวนป่าอยู่แล้ว ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มไม้ชนิดใดก็จะได้ประกาศในพระราชกฤษฎีกาต่อไป
ส่วน พล.อ.ดาว์พงษ์ ได้ชี้แจงว่า สมาชิก สนช. ส่วนใหญ่มีความกังวลว่าจะมีการสวมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อการทำสวนป่า โดยปัญหาเท่าที่ทราบก็คือเรื่องระบบกับคน ซึ่งปัญหาของเจ้าหน้าที่ป่าไม้นั้น ก็คือว่าจะต้องควบคุมให้อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างไร ซึ่งตนยอมรับว่า ก่อนหน้าตนมีความกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้ แต่พอได้ฟังข้อเสนอแนะแล้วนั้น ก็พอจะมีทางออกว่าจะต้องอุดช่องว่างให้ได้ โดยตนรู้สึกว่าถ้าต้องการจะได้ลูกเสือก็ต้องจะเข้าถ้ำเสือ เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาก็จะต้องทำให้รอบคอบ
หลังจากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติ 159 เสียง เห็นชอบรับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว โดยมีสมาชิกงดออกเสียง 3 เสียง พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมาย จำนวน 15 คน มีระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน และกำหนดระยะเวลาในการทำงาน 45 วัน