xs
xsm
sm
md
lg

คสช.เป้าหมายปฏิรูปหยุดปรองดองแม้ว-ต้องเปิดโปงให้ตาสว่าง !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผ่าประเด็นร้อน

เริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางปฏิรูปแล้ว เชื่อว่าเมื่อประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นัดแรกวันที่ 21 ตุลาคม เสร็จสิ้นแล้วก็คงมีการกำหนดกรอบและแนวทางการทำงานได้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน เราก็คงได้เห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆออกมากันหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เดินไปถึงช่วงเวลาสำคัญดังกล่าวในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เรากลับได้เห็นการเคลื่อนไหวที่ดูแล้ว “ทะแม่ง” ชอบกลเริ่มออกมาให้เห็น มีการส่งสัญญาณผ่านทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สังคมก็หันกลับมาเขม้นมองว่าเส้นทางข้างหน้าจะพอฝากผีฝากไข้ได้หรือเปล่า

ต้องยอมรับว่าผลจากการประชุมลับของ สนช. นานหลายชั่วโมงเพื่อหามติว่าจะรับวาระการพิจารณาถอดถอนสองอดีตประธานสภาหรือเปล่า นั่นคือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา จากความผิดกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญจากกรณีแก้ไขที่มาของวุฒิสภา ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติส่งเรื่องให้ สนช. พิจารณาถอดถอน โดยผลของมติที่ประชุมลับ สนช. ให้เลื่อนวาระการพิจารณาดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด อ้างว่าต้องพิจารณาเอกสารกว่า 4 พันหน้า รวมไปถึงตรวจสอบแง่มุมทางกฎหมายให้รอบคอบ แต่ความหมายก็คือ “ยื้อ เตะถ่วง” ออกไปแบบไม่มีกำหนดเวลา

ลักษณะแบบนี้ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือ แนวทาง “ปรองดอง” กับระบอบทักษิณ กลัวสร้างความขัดแย้งกับคนพวกนี้ เกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มีความยุ่งยากขึ้น อ้างว่าอาจทำให้เสียการใหญ่ในวันหน้า นั่นคือ การปฏิรูปและการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวอาจเป็นแนวทางของ “กุนซือ” ใกล้ชิดบางคนอย่างเช่น พล.อ.นพดล อินทปัญญา สนช. ในสายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่ ที่คิดแทนเท่านั้น อาจไม่ใช่ความประสงค์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นได้ลดทอนเครดิตกันทั้งกลุ่มลงไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะความคาดหวังในเรื่องปฏิรูปที่อาจไม่ใช่เป็นไปตามความต้องการของคนส่วนใหญ่

ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนมองแบบนั้นก็ได้ เนื่องจากผ่านมาสี่ห้าเดือน คณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่เคยไปแตะต้อง ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายญาติพี่น้อง ไม่เคยไปขุดคุ้ยติดตามดำเนินคดี ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ ไม่มีการแตะต้องใดๆทั้งสิ้น

แต่หากย้อนกลับไปพิจารณาถึงประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในฉบับแรก รวมไปถึงคำปรารภในรัฐธรรมูญฉบับชั่วคราวก็ได้เห็นหลักการได้ชัดเจนว่าพวกเขาเข้ามา “ยุติความขัดแย้ง” หยุดการฆ่าฟันกันของประชาชนทั้งสองฝ่าย นั่นคือเข้ามารักษาความสงบเท่านั้น ไม่ได้มีการพูดเรื่องการปราบปรามทุจริต ประพฤติมิชอบในการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด ซึ่งหากมองต่อไอีกก็คือ “ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง” นั่นเอง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งจะยืนยันว่าไม่อยากอยู่ในตำแหน่งนานเกินไป แต่นั่นเป็นคำพูดของเขาเฉพาะตัว คำถามก็คือคนที่อยู่รอบตัวมีความคิดแบบเดียวกันหรือไม่ ต้องการ “สืบทอดอำนาจ” ต่อไปหรือไม่ หรือต้องการปรองดองกับเครือข่ายทักษิณในวันหน้าเพื่อเข้าสู่อำนาจผ่านทางระบบเลือกตั้งในวันหน้าหรือไม่ เพราะเมื่อพิจารณาจากทิศทางแล้วเริ่มไหลไปทางนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

เชื่อว่าวิธีการแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นในกลุ่มการเมืองที่ใช้อำนาจแอบอิงอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นสิ่งหวังหรือฝันกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คำถามก็คือเป็นไปได้หรือไม่ เพราะบทเรียนที่ผ่านมาระบอบทักษิณไม่เคยปรองดองกับใคร มีแต่กินรวบ เพราะถือว่ามีมวลชนมีเครือข่ายราชการรองรับอยู่แล้วเวลานี้เพียงแต่รอจังหวะเท่านั้น

ดังนั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องกำจัดระบอบทักษิณ เท่านั้น นั่นคือต้องชี้แจงทำความเข้าใจให้สังคมได้ตาสว่าง ได้เห็นความเลวร้ายของคนพวกนี้ ที่ผ่านมา ก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มที่ทำลายสถาบันฯ อยู่เหนือกฎหมาย ทุจริตคอร์รัปชัน การเล่นพรรคเล่นพวกในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ คนพวกนี้มั่นใจว่ามีการเลือกตั้งเมื่อไหร่พวกเขาก็ชนะเลือกตั้งได้กลับมามีอำนาจอยู่ดี

ที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่าห้ามมีการวิพากษ์วิจารณ์ ห้ามพูดถึงเรื่องในอดีต อ้างว่าจะเสียบรรยากาศการปรองดอง ห้ามทุกฝ่ายพูดถึง

การประนีประนอม ปรองดองกับคนพวกนี้ถือว่าไม่มีประโยชน์ อีกด้านหนึ่งมันเหมือนกับการปรองดองกับคนทำผิดกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการยึดอำนาจที่เสียของ เพราะที่ผ่านมาถือว่าต้นทุนสูง สังคมต้องการให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ป้องกันและปราบปรามการทุจริต การใช้อำนาจมิชอบของนักการเมืองให้น้อยลง ซึ่งทำแบบนั้นได้ต้องมีความเด็ดขาด และมีความกล้าหาญ แต่เมื่อเริ่มต้นอย่างที่เห็นดูแล้วความหวังน่าจะเลือนลาง เสียเวลาเปล่า !!
พล.อ.นพดล อินทปัญญา
กำลังโหลดความคิดเห็น