xs
xsm
sm
md
lg

ปรองดองแบบประยุทธ์ ให้อยู่นิ่งๆ คนละอย่างกับคุ้ยความจริง!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

หากสังเกตให้ดีในระยะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพยายามเน้นย้ำในเรื่อง “การปรองดอง” ของคนในชาติ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน อย่างน้อยเฉพาะหน้าก็เตรียมความพร้อมสำหรับเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีหน้าคือปี 2558 ความหมายที่เขาสื่อออกมาก็คือต้องการให้ทุกฝ่าย “อยู่นิ่งๆ” อย่าเคลื่อนไหวทั้งอย่าต่อต้านรัฐบาล หรือแม้แต่การประท้วงใดๆ โดยขอให้ใจเย็นๆ เนื่องจากรัฐบาลและคสช.กำลังพยายามแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่เนื่องจากแต่ละปัญหามีความหมักหมมมานาน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลา

ทุกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มักจะพูดซ้ำๆ แบบนี้ตลอดเวลา อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงมันไม่มีทางเป็นไปได้ตลอดไป ในความหมายก็คือ “ความเงียบสงบ” ไม่มีทางอยู่ได้นานนัก

เพราะสิ่งที่เป็นอยู่แม้ว่าสถานการณ์ภายนอกค่อนข้างเงียบสงบ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และคสช.ออกมาให้เห็น แม้ว่าในทางลับ ในทางใต้ดินยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม ส่วนสำคัญเป็นเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ยังให้โอกาสในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งระยะเวลาที่เข้ามาก็เพียงแค่ 3 เดือนกว่าเท่านั้น ยังถือว่าในช่วงของ “ฮันนีมูน” ว่าได้

อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4-5-6 ผลงานที่ทำ หรือมาตรการต่างๆ ในการแก้ปัญหาน่าจะเริ่มเห็นแนวโน้มออกมาให้เห็นบ้างแล้วว่าไปในทางบวกหรือลบ ดังนั้นนับจากนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่ชาวบ้านเขาจะเชื่อฟังหากผลงานของรัฐบาลที่ออกมาส่อไปในทางลบหรือล้มเหลว แบบนี้คงไม่มีทาง “อยู่นิ่งๆ” ได้หรอก เพราะนั่นเท่ากับว่าล้มเหลว และมองว่าไม่จริงใจกับการแก้ปัญหาต่างหาก

ขณะเดียวกัน หากพิจารณาฝ่ายที่จะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านในอนาคตก็น่าจะมีสองสามกลุ่มใหญ่เช่นเดิม นั่นคือฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณ กับฝ่ายไม่เอาระบอบทักษิณ และฝ่ายที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพ ราคาผลผลิตตกต่ำ แบ่งหลักๆน่าจะประมาณนี้

ฝ่ายแรกคือฝ่ายทักษิณ ชินวัตร กลุ่มนี้แน่นอนชัดเจนอยู่แล้วว่าเพื่อหวังช่วงชิงอำนาจและมีอำนาจรัฐ ที่ผ่านมาสามารถใช้อำนาจแอบอ้างประชาธิปไตยผ่านทางการเลือกตั้งเข้ามาสู่อำนาจอย่างต่อเนื่อง อาจมีบ้างที่เว้นวรรคในช่วงระยะสั้นๆ และคาดหมายกันว่าหลังจากมีการคืนอำนาจให้มีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมปีหน้าตามที่มีการประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ระบอบของทักษิณ ชินวัตรก็จะกลับมาอีกครั้ง หลายคนคาดหมายไว้อย่างนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า “ความหมายของคำว่าปรองดอง” จะเป็นแบบไหน กลุ่มนี้กำลังรอจังหวะ รอให้เกิดความล้มเหลว หรือแม้แต่นิ่งสงบรอกลับมาในปีหน้าเมื่อมีการเลือกตั้ง เพราะทุกเครือข่ายของพวกเขายังอยู่เหมือนเดิม หรือ “ทำเนียน” เข้าสวามิภักดิ์กับ “อำนาจใหม่” ได้อย่างลงตัว

อีกฝ่ายหนึ่งหรืออาจรวมถึงฝ่ายที่ 3 ด้วยที่จะออกมาเคลื่อนไหว หากรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหา หรือส่อไปในทาง “ฮั้ว” ไม่จัดการกับระบอบทักษิณ อย่างจริงจัง หรือไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องได้ตามพูดเอาไว้ คนกลุ่มนี้ก็จะออกมาแน่นอน และไม่มีอำนาจใดจะมาขัดขวางได้ เหมือนกับที่ระบอบทักษิณ ในนามของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประสบเจอจนเกิดเงื่อนไขให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามานั่นแหละ และสองกลุ่มหลังนี่แหละน่ากลัวที่สุด

สำหรับความหมายของคำว่า “ปรองดอง” ว่าในที่สุดแล้วมันมีความหมายแบบไหนกันแน่ หมายถึงสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามเน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาปัญหาบ้านเมืองเวลานี้เกิดจาก “ความขัดแย้ง” สร้างความวุ่นวาย มีการใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่ากัน ทะเลาะกันไม่เลิกจนบ้านเมืองไม่มีทางออก ทุกอย่างหยุดชะงักจนคสช.ต้องเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ความหมายเหมือนกับว่าทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันแล้วเข้ามาแยกออกไป อย่างนั้แหละ

เชื่อว่าในความเป็นจริงไม่ใช่ความหมายแบบนั้นแน่นอน ไม่ใช่คนสองกลุ่มทะเลาะกันขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องของ “ความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง” การเคารพกฎหมาย กับการทำตัวเหนือกฎหมายเป็น “อภิสิทธิชน” ต่างหาก หากย้อนกลับไปพิจารณาถึงสาเหตุของการที่มีมวลชนออกมาต่อต้านและขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฟางเส้นสุดท้ายคือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมในความหมาย “ล้างผิดให้คนโกง” แบบยกเข่ง แบบหน้าด้านๆไม่สนใจหลักการของกฎหมาย โดยอ้าง “ความปรองดอง” แบบมั่วๆ นี่แหละ เป็นความสะสมความไม่พอใจมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งขบวนการล้มเจ้า การใช้อำนาจรัฐรังแกฝ่ายที่คิดเห็นต่างกัน ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เกิดการทุจริตเอื้อพวกพ้องกันอย่างมโหฬาร จนเกิดการลุกฮือขึ้นมา นี่คือสาเหตุ

ขณะเดียวกัน ที่ระบุว่ามีการใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่ากันนั้นก็น่าจะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเพราะฝ่ายที่ใช้อาวุธเข้าทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งนั้นล้วนมาจากเครือข่ายของระบอบทักษิณ สังเกตได้จากการชุมนุมที่ต่อต้านขับไล่ระบอบทักษิณ ตั้งแต่ปี 48 เป็นต้นมาต่อเนื่องจนถึงปี 57 ในหลากหลายชื่อเรียกล้วนเป็นฝ่ายถูกกระทำจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และเมื่อเหตุการณ์ปี 53 ก็เกิดเหตุ “ชายชุดดำ” ใช้อาวุธสงครามสังหารทหารและประชาชนมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความวุ่นวาย และล่าสุดทางฝ่ายตำรวจและทหารก็มียืนยันตัวตนจนมีการจับกุมและขยายผลในที่สุด

ดังนั้น การปรองดองในความหมายที่ให้ฝ่ายที่ขัดแย้งกัน “อยู่นิ่งๆ” ให้โอกาสรัฐบาลและคสช.แก้ปัญหานั้น คงไม่ใช่ความหมายที่ตรงกับความจริง เพราะมันเป็นเรื่องของความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง เพราะทั้งสองอย่างดังกล่าวมันปรองดองไม่ได้เป็นอันขาด แต่หากต้องการให้เกิดการปรองดองอย่างยั่งยืนแท้จริงก็ง่ายนิดเดียวนั่นคือการ “ทำความจริง” ให้ปรากฏ การค้นหลักฐานตามกระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใสให้ถึงที่สุด นี่ต่างหาก แต่คำถามก็คือเวลานี้ รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำอย่างจริงจัง หรือเข้าใจความหมายถูกต้องแล้วหรือยัง

เพราะปัญหาของบ้านเมืองไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง ทะเลาะกัน แต่เป็นเรื่องของความตื่นรู้ และทนไม่ได้กับการไม่เคารพกฎหมายทำตัวเป็นอภิสิทธิชนของคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถืออำนานรัฐ เหมือนกับที่เวลานี้กำลังมีการดำเนินคดีกับ “ชายชุดดำ” ที่ก่อเหตุฆ่าทหารและประชาชนในช่วงการชุมนุมเมื่อปี 53 คำถามก็คือมีใครที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้ เชื่อว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงก็น่าจะรู้ดี เพียงแต่ว่าจะดำเนินการอย่างไรเท่านั้นเอง

ดังนั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอร้องให้ทุกฝ่ายอยู่นิ่งๆอย่าออกมาเรียกร้องหรือสร้างความขัดแย้งก็คงเป็นไปไม่ได้ และการปรองดองแบบนี้คงอยู่ไม่ได้นาน เพราะมันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ได้พิสูจน์ความจริง ไม่ได้ขจัดความชั่วออกไป เพราะนั่นเป็นแค่กดปัญหาเอาไว้ชั่วคราว สุดท้ายก็จะกลับมาใหม่ และที่สำคัญหากยังเป็นแบบนี้การเข้ามาของ คสช.ก็จะเสียของเสียเวลาเปล่า!!
กำลังโหลดความคิดเห็น