xs
xsm
sm
md
lg

“เจตน์” อ้างร่างถอดนายกฯ แค่วางกรอบ - ส่อยื่นศาล รธน.ตีความอำนาจฟัน “ปู-ค้อนปลอม-นิคม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายเจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ภาพจากแฟ้ม)
โฆษกวิป สนช. ชี้ยกร่างถอดถอนนายกฯ แค่ทำตามระเบียบ และวางกรอบทำงานในอนาคต หากส่งเรื่องเข้ามา สนช. ขณะที่ 4 สำนวน นิคม - สมศักดิ์ - ยิ่งลักษณ์ และ 36 ส.ว. อาจถึงขั้นตีความที่ศาล รธน. ว่ามีอำนาจสอยได้หรือไม่

วันนี้ (9 ก.ย.) ที่รัฐสภา นายเจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และโฆษกวิป สนช. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมวิป สนช. ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาในเรื่อง 1. ร่างข้อบังคับการประชุม สนช. ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ในวันที่ 11 ก.ย. นี้ และ 2. ร่างกฎหมาย 5 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความแพ่ง (การดำเนินคดีแบบกลุ่ม) และอีก 2 ฉบับที่ค้างอยู่ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภาที่ผ่านมา คือ ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ร่าง พ.ร.บ.รถยนต์ โดยวิปจะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับ ไปยังสำนักเลขาธิการ สนช. เพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมของ สนช. โดยจะพิจารณาต่อจากกฎหมาย 5 ฉบับที่ยังค้างอยู่ในวาระการประชุม สนช.

นพ.เจตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนการแถลงนโยบายของรัฐบาลนั้น จะมีขึ้นในวันที่ 12 ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการประชุมเพียง 1 วัน เนื่องจากเป็นเพียงแค่การรับฟังนโยบายจากรัฐบาลเท่านั้น ดังนั้น จึงเห็นว่า สนช. ควรเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จเพื่อให้รัฐบาลสามารถเริ่มต้นปฏิบัติงานได้โดยเร็ว ส่ำหรับการอภิปรายของสมาชิก สนช. นั้น ขณะนี้ยังไม่มีผู้แสดงความจำนงที่จะอภิปราย แต่คงจะปล่อยให้สมาชิกได้อภิปรายอย่างเต็มที่ ซึ่งหากสมาชิกที่ประสงค์ที่จะอภิปรายจำนวนมากเป็นหน้าที่ของประธานในที่ประชุมจะควบคุมและบริหารเวลาในการอภิปรายให้เหมาะสม

นพ.เจตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2558 ในวาระ 2 - 3 ได้กำหนดในวันที่ 16 ก.ย. ช่วงบ่าย คาดว่า การพิจารณาแล้วเสร็จภายในวันเดียว เพราะขณะนี้มีสมาชิกขอแปรญัตติเพียง 7 คน ซึ่งประเด็นเสนอแปรญัตติก็น่าจะประเด็นเดียวกัน คือ การการปรับลดงปบประมาณในหน่วยงาน ซึ่งถ้าประธานบริหารเวลาได้ดี ไม่อภิปรายเยิ่นเย้อ ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร

นายเจตน์ ยังกล่าวถึงร่างข้อบังคับการประชุม สนช. ปี 2557 ที่มีหมวดเรื่องการถอดถอนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ว่า ข้อบังคับดังกล่าวเป็นเรื่องปกติที่มีการยกร่างให้ครอบคลุมบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวกับนักการเมืองและองค์กรต่างๆ ทุกตำแหน่ง ร่วมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมในอนาคตในการถอดถอนบุคคลเหล่านั้น หากมีการส่งเรื่องเข้ามาตามบทบัญญัติของกฎหมายต่างๆ สนช. ก็สามารถทำงานได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. มาตรา 58 ที่ให้อำนาจ สนช. ถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลปกครองสูงสุด หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร รองอัยการสูงสุด และ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ในหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น ส่วนจะกล้าถอดถอนบุคคลเหล่านี้หรือไม่ โดยเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายเจตน์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่มีความแน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน และในทางกลับกันหาก สนช. ยกร่างดังกล่าวแต่ไม่มีบทถอดถอนนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะถูกสังคมตั้งคำถามว่า ทำไมถึงละเว้นในประเด็นดังกล่าวนี้ไป

นายเจตน์ กล่าวถึงความคืบหน้าการถอดถอน 4 สำนวน โดยมีสำนวนเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ป.ป.ช. ส่งเรื่องมาให้วุฒิสภารวมอยู่ด้วยว่า ภายหลังที่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. และมีการสั่งยุบวุฒิสภาปี 2557 จึงไม่ทราบว่าสำนวนดังกล่าวจะอยู่ในชั้นไหน หน่วยงานใด รวมทั้งตกไปแล้วหรือไม่ แต่ขณะนี้ สนช. กำลังยกร่างข้อบังคับการประชุม สนช. และมีเรื่องถอดถอนรวมอยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อ สนช. ยกร่างเสร็จและมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจตรวจสอบกฎหมาย พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และข้อกฎหมายอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกยกเลิก ว่า 4 สำนวนดังกล่าวจะเข้าหลักเกณฑ์การถอดถอนหรือไม่ หากเข้าเงื่อนไขก็สามารถส่งเรื่องมาให้ สนช. ดำเนินการถอดถอนได้ทันที ส่วนประเด็นเรื่องข้อกฎหมายที่มีการแย้งว่า ขณะนี้ไม่มีฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญ 2550 ตามมาตรา 270 - 274 หมวดเรื่องการถอดถอน สนช. สามารถนำเอามาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาบังคับโดยใช้อาศัยจารีตประเพณีการปกครองมาอุดช่องว่าง แต่หากอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอ้างว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ประเพณีการปกครองที่เคยทำมา สุดท้ายอาจต้องส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สนช. จะมีอำนาจถอดถอน 4 สำนวนดังกล่าวหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับ 4 สำนวนที่ ป.ป.ช. เคยชี้มูลความผิดและส่งมาที่วุฒิสภา ปี 2557 ประกอบด้วย สำนวนแรกของ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า ขณะดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ได้กระทำการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของวุฒิสภา สำนวนที่สอง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าได้กระทำการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะดำรงตำแหน่งประธานสภา และประธานในที่ประชุมรัฐสภา โดยทั้งสองสำนวน เป็นผลพวงมาจากกรณีอดีต ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล โดยการนำของพรรคเพื่อไทยได้ร่วมกันลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในเรื่องที่มาของ ส.ว. มาตรา 190 และแก้ไขมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญปี 2550

สำนวนที่สาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและบทกฎหมายในเรื่องการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในการไม่ระงับ หรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว และสำนวนสุดท้าย อดีตสมาชิกวุฒิสภา 36 คน จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมาย หรือ ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา


กำลังโหลดความคิดเห็น