“อภิสิทธิ์” ยังไม่ได้คุยกับ “อลงกรณ์” หลังแย้มลง สปช. บอกเป็นสิทธิไม่ห้าม แต่ต้องไม่ใช่ในนามพรรค กั๊กส่งลงเลือกตั้งสมัยหน้า ไม่รู้มีสมาชิกพรรคลงไปกี่คน บอกศาลยกฟ้องดีเอสไอฟ้องสลายม็อบแดง 53 เป็นไปตามที่ยืนยัน โยน ป.ป.ช.ส่งฟ้องศาลฎีกาหรือไม่ รอดูอัยการสูงสุดอุทธรณ์ต่อหรือไม่
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะลงสมัครสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในนามมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย และทางพรรคคงไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยหน้าว่า ยังไม่ได้คุยกับนายอลงกรณ์ แต่เป็นสิทธิที่นายอลงกรณ์สามารถทำได้ เมื่อตัดสินใจว่าอยากจะไปทำงานนี้ก็สามารถไปได้ เพราะการเปิดรับสมาชิก สปช.ไม่ได้ห้ามคนที่สังกัดพรรคการเมืองไปได้ และพรรคไม่ได้ห้ามสมาชิกหรือใครที่จะไปสมัครเป็นสมาชิก สปช. เพียงแต่พรรคเคยกล่าวเอาไว้ว่าสงวนสิทธิ์ในเรื่องการจะส่งผู้สมัคร เพราะต้องไปดูว่ามีปัญหาผลประโยชน์ขัดกันหรือไม่ แต่เบื้องต้นตนไม่เห็นด้วยต่อการที่จะให้พรรคส่งชื่อบุคคลไปเป็น สปช. เพราะเป็นกระบวนการที่นักการเมืองไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ควรให้ข้อมูลเท่านั้น การไปสมัครของนายอลงกรณ์จึงไม่เกี่ยวกับพรรค
“ส่วนจะได้รับการคัดสรรหรือไม่ ก็ว่าไปตามกระบวนการ แต่นายอลงกรณ์ต้องชัดเจนว่าไปในนามของตัวเองหรือองค์กรที่ส่งไป พรรคก็จะสงวนสิทธิ์เอาไว้เมื่อมีการพิจารณาตัวผู้สมัคร ถ้าเห็นว่ามีความขัดกันในเรื่องของผลประโยชน์ก็ไม่ส่งลงสมัคร ส่วนจะมีคนจากพรรคไปสมัครหรือไม่ พรรคมีสมาชิกจำนวนมาก ผมไม่ทราบว่าที่สมัครกันไปแล้วนั้นมีสมาชิกพรรคกี่คนอะไรอย่างไร แต่ทุกคนที่ไปก็ต้องไปในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า กลายเป็นว่าพรรคเหยียบเรือสองแคม ไม่ส่งในนามพรรคแต่คนของพรรคเข้าไปร่วมใน สปช. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคไม่มีสิทธิ์ไปห้ามคน และการพูดแบบนี้เป็นเรื่องไม่ถูก พรรคกำหนดจุดยืนของพรรคชัดเจน แต่พรรคไม่มีสิทธิไปละเมิดสิทธิของคนอื่นที่เขาจะสมัคร และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่ต้องประชุม เราไม่สามารถประชุมได้ ตนให้ฐานะหัวหน้าพรรคแสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว ไม่มีตรงไหนเหยียบเรือสองแคม
อดีตนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีศาลอาญายกฟ้องคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และอัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยมีเจตนาเล็งเห็นผลว่า เป็นไปตามที่ตนเคยยืนยันมาตลอดว่าข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอกล่าวหาตนและพระสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ว่าเป็นการทำในหน้าที่ราชการทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนของตนคือ การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และตั้ง ศอฉ.ขึ้น หากมีการกระทำผิดก็เป็นเรื่องที่ทาง ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวนและลงความเห็นว่าจะส่งฟ้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดีเอสไอเองก็วินิจฉัยลักษณะนี้ในคดีอื่นมาตลอด แต่กรณีนี้กลับมาทำในสิ่งที่ต่างไปจากคดีอื่นซึ่งทำผิดมาแต่ต้น ส่วนเหตุการณ์นี้ใครจะทำผิดอะไร อย่างไร ทาง ป.ป.ช.กำลังสอบสวนอยู่ ตนได้ไปให้ถ้อยคำมาแล้ว อยู่ที่ ป.ป.ช.ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะฟ้องกลับนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีต อสส.ที่เป็นคนลงนามสั่งฟ้องในกรณีนี้หรือไม่ เพราะกำลังยื่นอุทธรณ์ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง สำหรับความเห็นแย้งของอธิบดีศาลอาญาที่แสดงความเห็นต่างจากคำพิพากษาก็ถือเป็นสิทธิที่ท่านเห็นแย้งได้ ส่วนในคดีนี้ก็ต้องดูต่อว่า อสส.จะยื่นอุทธรณ์ต่อหรือไม่ ตนยืนยันมาตลอดว่า พร้อมยอมรับที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมตามกระบวนการกฎหมายที่ถูกต้อง