“สมชาย” เผยศาลจ่อชง สนช.แก้กระบวนการไต่สวนคดีอาญานักการเมืองยกเลิกศาลเดียวใช้ระบบสองศาล อ้างเพื่อความเป็นธรรมและทันสมัย แก้ข้อครหาใช้ระบบศาลเดียวชี้เป็นตายนักการเมือง ปัดเอื้อประโยชน์ให้ “ยิ่งลักษณ์ และพวก” ลากยาวคดี ด้าน “ถาวร” ไม่ขวางแต่ต้องขีดกรอบเวลาทั้งกระบวนการให้ชัดเจน กันซ้ำรอยคดีอัลไพน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 12 ส.ค. นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า จากที่ตนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับบรรดาผู้พิพากษาหลายท่าน ทราบว่าขณะนี้ทางฝ่ายวิชาการของศาลมีความคิดที่จะเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.การพิจารณาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยจะมีการเพิ่มศาลอุทธรณ์มาอีกชั้นแทนที่จะเป็นการพิจารณาของศาลฎีกาเพียงศาลเดียว หากหลายฝ่ายเห็นด้วยก็จะมีการเสนอร่างกฎหมายเข้าสภาเร็วๆ นี้
นายสมชายกล่าวว่า สำหรับตนเห็นว่าการให้มีสองศาลนั้นตนรับได้ เพราะที่ผ่านมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองนั้นดีจริง แต่ต้องมีการเอาผู้พิพากษาทั้ง 9 คนมาทำงาน ซึ่งมีการเสนอให้เพิ่มศาลขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง จะเป็นศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ แต่บางคดีอาจจะจบที่ชั้นนี้โดยไม่ต้องมาขึ้นฎีกาอีก เพราะจะมีเรื่องการ “อนุญาต” มาเกี่ยวข้อง และคดีของนักการเมืองเล็กๆ ในท้องถิ่นก็ไม่จำเป็นต้องมาขึ้นคดีศาลฎีกาทั้งหมด ควรมีชั้นอุทธรณ์พิจารณาก็พอ
“เท่าที่ผมได้คุยกับผู้พิพากษาหลายท่านเห็นว่า น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยเหมาะสมขึ้น ในประเทศสากลมีทั้งสองแบบ คือ ทั้งแบบศาลเดียว และสองศาล ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เอื้อนักการเมืองบางคน เพราะศาลอุทธรณ์ก็ทำหน้าที่เด็ดขาดเช่นกัน หากตัดสินแล้วไม่อนุญาตให้ฎีกาได้ก็จบที่ชั้นนี้เลย ระบบก็จะไม่ต้องถูกกล่าวหาอีกว่ามีศาลเดียวเหมือนที่นักการเมืองมักจะกล่าวหากัน อย่างกรณีสหรัฐอเมริกาเขาจะให้เป็นไปตามกระบวนการ คือ ผ่านทั้งศาลชั้นต้น และอุทธรณ์ แต่จะมีโควตารับฎีกาแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่จะจบที่ชั้นอุทธรณ์เลย แต่ของไทยเรามีทนายเก่งๆ เยอะ ทำให้มีการฎีกาจำนวนมาก ปัญหาคือลากไปยาว 10-30 ปี ถ้าทำให้จบตั้งแต่ชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ คดีก็ไม่ต้องไปรับกวนศาลผู้ใหญ่”
นายสมชายกล่าวต่อว่า จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงทุกองคาพยพ ทั้งกำหนดระยะเวลาเร่งทำงาน ตั้งแต่ชั้นสืบสวนสอบสวนทั้งพนักงานตำรวจ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชั้นอัยการ เมื่อมีเรื่องร้องเรียน เข้ามา ป.ป.ช.จะมีเวลาระยะหนึ่งในเบื้องต้นสอบสวนว่าคดีมีมูลหรือไม่ ถ้าไม่มีมูลก็ตกไป หรือมีมูลแต่ไม่พอ ป.ป.ช.สั่งสอบต่อภายใน 1 ปี ระหว่างนั้นถ้ามีมูลก็สอยได้ แต่ต้องมีการกำหนดระยะเวลาการทำงานไม่ให้ยืดเยื้อหลายปี และสามารถให้คนที่เห็นว่าไม่เป็นธรรมสามารถอุทธรณ์ต่อศาลได้ ซึ่งต้องสัมพันธ์กับประเด็นอายุความคดีใน ป.ป.ช.ที่ถกเถียงกันอยู่ว่าควรจะกำหนดกี่ปี หรือไม่มีอายุความ และสามารถฟื้นคดีใหม่ได้หากมีข้อมูลใหม่ และการทำให้กระบวนการทุกขั้นตอนจับคนทุจริตสั้นลงทุกขั้นตอน เรื่องนี้ต้องทำทั้งกระบวนการขีดกรอบเวลาให้ชัดเจน เช่น ทุจริตโครงการจำนำข้าวควรจะจบถึงศาลฎีกาภายใน3 ปี ไม่ใช่ปล่อยลากยาวเป็นสิบๆ ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้กฎหมายเช่นนี้เพื่อต้องการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองบางกลุ่ม โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคพวกที่กำลังถูกดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ตนเพียงได้ยินข่าวมาว่าพวกผู้พิพากษามีดำริเรื่องนี้เท่านั้น หากมีการเสนอเข้ามาขึ้นอยู่กับสมาชิกว่าจะพิจารณาอย่างไร และสำหรับตนได้ตกผลึกในเรื่องขั้นตอน ถ้าระยะสั้นลงก็มีสองศาลก็ได้ ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้นักการเมืองยื้อคดีให้ยืดยาวแต่อย่างใด
“1. อย่างน้อยสังคมโลกยังเห็นว่าเราไม่ได้ใช้ศาลเดียว 2. ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายว่ามีกระบวนการกลั่นกรอง ไม่ใช่ทุกเรื่องไปที่ศาลฎีกาหมด เดี๋ยวจะหาว่ารวบรัดตัดความกัน แต่หลายประเทศเขาแก้ปัญหาทุจริตโดยใช้ระบบศาลเดียวเพื่อเร่งรัดคดี แต่ถามว่าทั้งหมดเราเคยเอาใครเข้าคุกได้หรือไม่ ยกเว้นนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตนักการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกคดีทุจริตยา”
ด้านนายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากจะมีการแก้ไขจากระบบศาลเดียวให้เป็นสองศาลถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ซึ่งตนไม่ขัดข้อง แต่ควรมีการตีกรอบเวลาในกระบวนการพิจารณาให้มีประสิทธิภาพและให้เสร็จภายใน 1 ปี เพื่อชี้ให้เห็นว่าคนที่กระทำการทุจริตคอร์รัปชันจะต้องถูกลงโทษให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่ถ่วงเวลาในศาลเป็นสิบๆ ปี หรือปล่อยให้ขาดอายุความเหมือนคดีที่ดินอัลไพน์ หรือถ่วงเวลาทำงานของศาลจนประชาชนลืมแล้วว่าคนนั้นทุจริต
“ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้ขอให้คุณทำงานให้รวดเร็ว ศาลก็ถูกบีบให้ทำงานภายใต้กรอบเวลาให้เกิดความมั่นใจว่าคนทุจริตสามารถนำมาลงโทษได้ด้วยความรวดเร็ว ถ้าเราไม่ให้โอกาสข้าราชการขี้เกียจก็จะสามารถทำได้รวดเร็ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เป็นเพราะข้าราชการหลายคนที่ขี้เกียจทำงาน”