ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดตำรวจในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้บังคับบัญชาระดับบน หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาควบคุมอำนาจเป็นต้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว มาเป็น พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ามาติดตามดูแลคดี มีการเปลี่ยนแปลงผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็น พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ทำให้น่าสังเกตว่าคดีที่เกี่ยวกับอาวุธสงคราม คดีที่เกี่ยวกับการใช้อาวุธสงคราม และการทำร้ายผู้ชุมนุมที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ ระบอบทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มมีความคืบหน้าเป็นลำดับ สามารถจับคนร้ายได้มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการจับกุมที่ อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราดที่คนร้ายมีการถล่มเวทีปราศรัยย่อยของ กปปส.ในครั้งนั้นคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจใช้ระเบิดและอาวุธสงครามยิงถล่มทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บร่วมร้อยคน ในจำนวนนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย ต่อมาตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 10 ราย และจับกุมได้ 2 ราย จากนั้นก็มีการจับกุมผู้ต้องหายิง สุทิน ธราทิน แกนนำคปท.เสียชีวิตที่หน้าวัดศรีเอี่ยม เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ มีการจับกุมคนร้ายที่ยิงถล่มสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถล่มเวทีแจ้งวัฒนะ ถล่ม กปปส.หน้าตึกชินฯ โดยผู้ต้องหารายนี้รับสารภาพว่าได้ค่าจ้าง 3-4 พันบาท และไปรับอาวุธมาจากห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว แบบนี้ก็ไม่ต้องอธิบายว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นแหล่งมั่วสุมของกลุ่มไหน
ล่าสุดมีการจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุใช้อาวุธสงคราม เอ็ม 79 ที่หน้าห้างบิ๊กซีสาขาราชดำริ ใกล้เวที กปปส.ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตสามราย เป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ 2 ราย และเจ็บอีกจำนวนมาก เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมมีการจับกุมคนร้าย 4 รายที่เหลืออีก 3 รายยังหลบหนีอยู่ นำมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพว่ายิงจากสะพานข้ามแยกประตูน้ำ
นอกจากนี้ยังมีการจับกุมอาวุธสงครามจากที่ต่างๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งแทบทั้งหมดจะมีการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน รวมทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีความผิด มาตรา 112
น่าสนใจก็คือ การจับกุมที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นหลังจากมี คสช.และมีการเปลี่ยนตัวผู้นำในสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งสิ้น และเชื่อว่าหากมีการขยายผลการจับกุมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็คงจะมีการสาวไปถึงคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังได้ไม่ยาก ซึ่งนาทีนี้ก็สามารถสรุปจากภาพที่เห็นแล้วว่าฝ่ายไหนอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ว่าต้องรอแถลงแบบเจาะจงว่า “ใคร” ที่เป็นผู้บงการใหญ่เท่านั้นเอง
ที่ผ่านมานับตั้งแต่ทลายแผน “ขอนแก่นโมเดล” ที่เตรียมใช้กองกำลังติดอาวุธออกมาก่อเหตุร้ายเพื่อสร้างความวุ่นวายและนำไปสู่การขยายผลจับกุมคนร้ายและอาวุธสงครามได้อย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างก็เริ่มคลี่คลาย
ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งให้ผู้ที่ปล้นเอาอาวุธปืนของกองทัพไปในช่วงที่เข้าขอคืนพื้นที่ที่บริเวณแยกคอกวัว และบริเวณใกล้เคียงในช่วงวันที่ 10 เมษายน ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยอาวุธปืนเหล่านั้นยังไม่ได้คืนอีกจำนวนมาก ให้รีบนำมาคืนภายในกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังไม่มีการระบุว่ามีการนำอาวุธสงครามไปก่อเหตุที่ไหนบ้าง แต่หลายครั้งที่มีการจับกุมผู้ต้องหาก็จะมีการระบุหมายเลขทะเบียนอาวุธปืน ซึ่งนั่นก็น่าจะมีความหมายว่าเป็นอาวุธของทางการที่ถูกปล้นหรือขโมยไปก่อนหน้านี้
แม้ว่าการจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในช่วงที่ผ่านมาระหว่างการชุมนุมทางการเมืองนับตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อปี 2553 มาจนถึงปี 57 ก่อนการรัฐประหารสังคมก็เข้าใจแล้วว่าเป็นฝีมือุ่มติดอาวุธของเครือข่ายระบอบทักษิณ เป็นกลุ่มที่ทำงานคู่ขนานกันไปกับมวลชนคนเสื้อแดง เพื่อปกป้องรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม และหากย้อนกลับไปก็น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มเข้าใส่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อปี 48 เป็นต้นมาด้วย
ดังนั้น หวังว่าการจับกุมคนร้ายในหลายคดีจะเริ่มทยอยออกมาให้เห็นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สังคมได้เข้าใจชัดแจ้งขึ้นมาแล้วว่าการก่อเหตุรุนแรงด้วยอาวุธสงครามร้ายแรงล้วนมาจากเครือข่ายติดอาวุธของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และระบอบทักษิณ ทั้งสิ้น การจับกุมคนร้ายและนำมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นใบเสร็จยืนยันความเชื่อก่อนหน้านี้เท่านั้น อย่างไรก็ดีสิ่งที่สังคมอยากรู้มากไปกว่านี้ก็คือ ตำรวจจะกระชาก “โม่ง” ที่ชักใยสั่งการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ แม้ว่าจะรู้กันมานานแล้วก็ตาม
หรือตั้งคำถามไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่าจะให้ลากคอออกมาให้เห็นหรือไม่ หรือว่า “ตัดตอน” เพียงแค่นี้!!