มหากาพย์โกงจำนำข้าวกลับมาเป็นที่สนใจของหลายคนอีกครั้ง
หลังจากที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่มี “ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล” ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าชุดเดินหน้าเปิดโปงมหากาพย์โกงจำนำข้าวในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างต่อเนื่อง
ผ่านการส่งทีมงานในคณะอนุกรรมการฯที่เป็นความร่วมมือกันของหลายฝ่ายที่มาร่วมทีมตรวจสอบดังกล่าวทั้งข้าราชการในสำนักนายกรัฐมนตรี -ผู้ตรวจราชการจากบางกระทรวงที่มาร่วมทีมด้วยเช่นผู้ตรวจสำนักนายกรัฐมนตรี -ผู้ตรวจกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์-ผู้ตรวจกระทรวงสาธารณสุข-กระทรวงแรงงานนับเป็นเรื่องดีที่เอาผู้ตรวจราชการกระทรวงออกมาทำงานดีกว่าปล่อยให้นั่งตบยุงกินกาแฟ กินเงินหลวงไปวันๆ ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการที่ไม่มีงานอะไรให้ทำ
โดยคณะอนุกรรมการฯชุดนี้มีการประชุมเซ็ตทีมงานกันมาแล้วก่อนหน้านี้หลายครั้งและมีการอบรมการเข้าตรวจสอบโกดังรับจำนำข้าวว่าต้องตรวจสอบอย่างไรให้ได้ข้อเท็จจริงไม่โดนพวกเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่วมโกงกินในโครงการรับจำนำข้าว-พ่อค้าข้าว ตบตาหลอกได้จึงมีการสนธิกำลังส่วนหนึ่งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท)มาร่วมด้วย
โดยบางจังหวัดมีการส่งทหารมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ด้วยเพราะว่า ขบวนการโกงกินรับจำนำข้าว มีคนเกี่ยวข้องได้ประโยชน์กันมากอาจมีการใช้อิทธิพลอะไรเพื่อขวางการตรวจสอบ โดยเฉพาะในบางจังหวัดที่พวกพ่อค้าข้าว-เจ้าหน้าที่รัฐ-นักการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่นร่วมกันโกงกินทหารเลยต้องส่งกำลังเจ้าหน้าที่มาช่วยด้วย
เมื่อกระบวนการตรวจสอบดำเนินไปอย่างเข้มข้นรวดเร็ว ไม่มีการรีบด่วนสรุป ทำให้การเดินหน้าลุยตรวจโกดังข้าวในช่วงรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาพบความเน่าเหม็นหลายอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในการโกงกินรับจำนำข้าว ที่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็คงปกปิดความจริงนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนโครงการรับจำนำข้าวทำประเทศล่มจมต่อไปแน่นอน
ผลของการลุยตรวจดังกล่าว โดยคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐในโกดังที่เก็บข้าวที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวร่วม12 จังหวัดตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ได้พบข้อเท็จจริงว่าปริมาณข้าวในหลายโกดัง ไม่ตรงกับที่แจ้งไว้กับกระทรวงพาณิชย์และยังพบข้าวด้อยคุณภาพจำนวนมาก
ในการลงพื้นที่ตรวจสอบคณะทำงานยังพบว่า ในการตรวจสอบโกดังบางแห่งมีปริมาณข้าวขาว 5% คลาดเคลื่อนไป 6.99% และอีกบางจังหวัดก็พบว่าโกดังที่มีการเก็บข้าวหอมมะลิ 100%เกรด2 พบข้าวขาดหายจากบัญชีกว่า 80% !
แล้วก็ยังเจออีกหลายปัญหาเช่น กรณี เอกสารข้าวในโกดังพบความผิดปกติคือ ไม่มีการนำเข้า มีแต่จ่ายออกนอกเหนือจากนี้ยังพบปัญหามากมายเช่น ปัญหาการวางกองข้าวไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์กองข้าวล้ม ข้าวเสื่อมคุณภาพ มีสีเหลือง มีมอด มีข้าวอื่นปลอมปน และมีฝุ่นแป้งน้ำรั่วซึม
แต่ก็มีโกดังบางแห่งแม้เชิงปริมาณข้าวยังอยู่ครบ แต่ในเชิงคุณภาพก็พบปัญหามากมายเช่นกระสอบป่านที่เก็บข้าวมีการตีตราไม่ตรงกับชนิดข้าวและด้ายเย็บกระสอบก็เป็นคนละชนิด เมื่อแทงกระสอบดูพบมีข้าวปลายปะปนอยู่จำนวนมากจนทีมตรวจสอบ ต้องเก็บตัวอย่างส่งให้ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวตรวจสอบคุณภาพข้าวและตรวจดีเอ็นเอว่าเป็นข้าวหอมมะลิจริง
เรียกได้ว่าตรวจกันละเอียดจริงๆถึงขั้นตรวจดีเอ็นเอข้าวกันแล้ว เพื่อไม่ให้มีการแหกตากันได้
ขณะเดียวกันการตรวจสอบก็ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะพวกโกงข้าว ก็รู้ดีว่าตัวเองทำผิดก็ต้องพยายามหาทางขวางการตรวจสอบ อย่างก็มีข่าวว่า คณะทำงาน โดนสารพัดลูกไม้ขวางการเข้าตรวจโกดังเช่นบางจังหวัดทีมผู้ตรวจราชการไปขอตรวจปริมาณข้าวในโกดัง บางโกดังก็ทำเป็นว่าเปิดให้เข้าไปไม่ได้ไม่มีความพร้อม ขอเลื่อนไปก่อน เหตุที่พยายามขวางลำแบบนี้ ก็คงเพื่อหวังยื้อจะกลบเกลื่อนไม่ให้ตรวจสอบพบพิรุธการโกงรับจำนำข้าวที่มี ปัญหา “ข้าวเสื่อมสภาพ เวียนเทียนข้าว ทำบัญชีปลอม” กันนั่นเอง
แถมมีข่าวว่าคณะทำงานเชื่อว่า จากการตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติดังกล่าวทำให้เชื่อว่ามีกระบวนการทุจริตเกิดขึ้นหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการเวียนเทียนข้าวหรือที่เรียกกันในวงการว่า “เปาเกา” ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ตรวจสอบพบอย่างที่ม.ล.ปนัดดาระบุไว้ก่อนหน้านี้หลังคณะทำงานฯมีการลุยตรวจสอบโกดังข้าวไปแค่ไม่กี่วัน
“มีทั้งข้าวหายจำนวนมากเลขรหัสข้างกระสอบไม่ตรงกับเอกสารที่แจ้งไว้ เหมือนเป็นการเวียนเทียนข้าว (เปาเกา)คือการนำข้าวออกจากโกดังไปเร่ขายให้โรงสีแล้วโรงสีจะซื้อข้าวเก่าส่งเข้าโกดังแทน"
ขณะเดียวกัน คสช.ได้สั่งเด้งนางศรีรัตน์รัษฐปานะ จาก ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไปเข้ากรุเป็น ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ แล้วให้น.ส.ชุติมา บุณญประภัศร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ มาเป็น ปลัดกระทรวงพาณิชย์แทน
เมื่อปลัดพาณิชย์ฯคนใหม่เข้ามาทำงานได้ไม่กี่วันก็สั่งย้ายสุรศักดิ์ เรียงเครือ จากอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศไปเป็นผู้ตรวจฯกระทรวงพาณิชย์ และแต่งตั้งนางดวงพร รอดพยาธิ์ ที่ปรึกษาการพาณิชย์มารักษาการอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และยังย้ายนายสมชาติ สร้อยทองอธิบดีกรมการค้าภายใน ไปเป็นผู้ตรวจฯกระทรวงพาณิชย์ และแต่งตั้งนางจินตนาชัยยวรรณาการ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รักษาการอธิบดีกรมการค้าภายใน
มีการตั้งข้อสังเกตุว่าสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของการย้าย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและกรมการค้าภายในอาจเกิดจากเรื่องโครงการรับจำนำข้าวเพราะก่อนหน้านี้สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งสุรศักดิ์และสมชาติ สองคนนี้เคยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้เข้ามาช่วยดูแลปัญหาโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวด้วยแต่ก็แก้ไม่ได้ผล
ยิ่งเมื่อคณะทำงานชุดม.ล.ปนัดดาตรวจสอบพบปัญหาจำนำข้าวแบบนี้ ก็ต้องมีคนรับหน้าเสื่อไปก่อนและเชื่อว่าคงไม่จบแค่นี้แน่นอน น่าจะต้องมีคนของกระทรวงพาณิชย์หลายระดับเช่นพาณิชย์จังหวัด เจ้าหน้าที่รัฐในองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)และองค์การคลังสินค้า (อคส.) รวมถึงอาจมีพวกผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์อีกหลายคนต้องรับผิดชอบจากเรื่องรับจำนำข้าว
ด้วยที่กลัวความผิดมาถึงตัวก็เลยมีการให้ข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ว่าที่ผ่านมามีการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวในโกดังต่อเนื่องอยู่แล้ว ผ่านคณะกรรมการจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ และกรมการค้าภายในรวมถึงเซอร์เวเยอร์ที่ร่วมกันถือกุญแจโกดังข้าวแต่ก็ไม่เคยพบข้าวหายหรือข้าวเสื่อมคุณภาพ แต่ทำไมพอคณะอนุกรรมการฯมาตรวจสอบกลับปรากฏข่าวข้าวหาย-เสื่อมคุณภาพกันมาก
พฤติกรรมแบบนี้ ในการให้ข่าวลักษณะดังกล่าวก็เพื่อพยายามให้ข่าวฟอกตัวเองและหวังดิสเครดิตคนที่จะมาจับพวกนี้ไปลงโทษทางวินัยและดำเนินคดีอาญานั่นเอง เพราะรู้ดีว่าความผิดกำลังมาถึงตัวก็เลยต้องดิ้นสู้กันอยู่ แต่ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนออกมาแต่พวกนี้กรรมจะตามทันความชั่วที่ร่วมกันก่อไว้แน่นอน เพราะทางคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ขีดเส้นไว้ว่าจะสรุปผลการตรวจสอบทั้งหมดแล้วรายงานตรงถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาหัวหน้าคสช.ภายในไม่เกิน 31 ก.ค.นี้รวมถึงอาจส่งให้ ป.ป.ท.และป.ป.ช. เพื่อให้เป็นข้อมูลกับคสช.เอาไปขยายผลต่อไป
พูดถึงประเด็นพยายามจะดิ้นรนหนีความผิด ทางด้านอดีตนายกรัฐมนตรี “ปู-ยิ่งลักษณ์”ซึ่งเดิมทีก็มีข่าวว่าป.ป.ช.น่าจะสรุปผลการดำเนินคดีอาญากับยิ่งลักษณ์ในคดีรับจำนำข้าวเพื่อส่งฟ้องต่ออัยการสูงสุดได้ภายในเดือนนี้ แต่ดูแล้ว ตอนนี้คงอาจต้องเลื่อนไปสักระยะก็เป็นไปได้เพราะยิ่งลักษณ์และทีมทนายความก็ดิ้นรนเหลือกำลังเพื่อหวังยื้อคดีให้นานที่สุดจะได้ไม่ต้องตกเป็นจำเลยในชั้นศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯหากอัยการสูงสุดสั่งฟ้องยิ่งลักษณ์ตามสำนวนของป.ป.ช.
โดยเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมายิ่งลักษณ์ให้ทีมทนายความไปยื่นเรื่องขอยื้อกับทางป.ป.ช.เพื่อคัดค้านมติป.ป.ช.เมื่อ27มิ.ย. 57 ที่จะไม่ทำการเรียกพยานรวม 8ปากตามที่ทีมทนายความยิ่งลักษณ์ได้ยื่นเรื่องไปต่อป.ป.ช.ก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะพยาน 3 ปากที่ ยิ่งลักษณ์เน้นมากเป็นพิเศษโดยขอให้ป.ป.ช.เรียกมาสอบให้ได้คือ นุตร์ปกรณ์วงศ์สีนิล ผอ.อคส.-ประกอบ รัตนาภักดี จากองค์การตลาดเพื่อเกษตกร -พชร อนันตศิลป์ผอ.สำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ กระทรวงการคลัง
ฝ่ายทีมทนายความยิ่งลักษณ์พยายามจะดิ้นสู้ว่าพยานทั้ง 3 คนจะให้ข้อมูลเรื่องข้อเคลือบแคลงเรื่องปริมาณข้าวหายในเวลานี้ได้ดีที่สุดรวมถึงยังย้ำให้ป.ป.ช.ยังไงก็ต้องเรียก อำพน กิตติอำพนเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาสอบให้ได้ เพราะจะเป็นพยานปากสำคัญในคดีนี้
แถมยังไขสืออ้างว่าการตรวจสอบของคณะทำงานชุดม.ล.ปนัดดา พยายามให้ข่าวว่ามีข้าวหายจำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่มีการสรุปผลว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นอย่างไรข่าวที่ออกมาไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลชุดที่แล้วและยิ่งลักษณ์
เป็นความพยายามจะหน่วงรั้งไม่ให้ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ลงมติดำเนินคดีอาญากับยิ่งลักษณ์กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่สั่งระงับหรือทบทวนโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้เป็นโครงการที่เกิดผลเสียต่อประเทศอย่างทุกวันนี้
แต่ความพยายามจะรั้งยังไงก็คงยากและเชื่อว่าคดีนี้จะไปถึงศาลฎีกาฯ ในช่วงก่อนเลือกตั้งใหญ่ปลายปี 58 แน่นอน หากแม้สุดท้าย อัยการ อาจสั่งไม่ฟ้องยิ่งลักษณ์ป.ป.ช.คงใช้อำนาจฟ้องเอง
ยิ่งลักษณ์ก็ยากจะดิ้นหนีคดีโกงจำนำข้าว