ผ่าประเด็นร้อน
เหตุที่ ทักษิณ ชินวัตร ยอมการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แบบสยบราบคาบ ไม่มีท่าทีต่อต้านใดๆ ให้เห็น นอกจากเพราะรู้ดีว่าหมดทางสู้ ไม่มีทางกอบกู้สถานการณ์ใดๆ ได้แล้ว
สาเหตุสำคัญเรื่องหนึ่งก็เป็นเพราะ ทักษิณกังวลเรื่องความปลอดภัย และการดำเนินชีวิตของคนในตระกูล “ชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์-ดามาพงศ์” ที่ยังไงก็ต้องใช้ชีวิต-ทำงานและทำธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองไทย
ดังนั้นจะต่อต้าน คสช.โดยแทบไม่มีทางสู้ได้เลย มีแต่พังกับพังเท่านั้น
ดูได้จากตัวอย่างธุรกิจทีวีดิจิตอลของ Voice TV ของพี่น้อง “โอ๊ค-เอม” พานทองแท้-พินทองทา ชินวัตร ธุรกิจใหญ่มีเงินลงทุนเป็นพันล้าน ล่าสุดก็ชนะการประมูลทีวีดิจิตอลไปด้วยเงินประมูล 1,330 ล้านบาท แต่ต้องมายุติการแพร่ภาพไปตั้งแต่ 19 พ.ค.หลัง พล.อ.ประยุทธ์ประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อ 19 พ.ค. และยังโดนประกาศ คสช.ฉบับที่ 15 สั่งให้ยุติการแพร่ภาพไปพร้อมกับอีกสิบกว่าสถานี
กว่า กสทช.และคสช.จะให้กลับมาอากาศอีกรอบเมื่อ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังออกอากาศไม่ได้ร่วมหนึ่งเดือน ธุรกิจของสถานีก็ชะงักหมด โดยเฉพาะเรื่องเงินค่าโฆษณาต่างๆ ได้รับผลกระทบหมด แถมกลับมารอบนี้ต้องยอมปรับผังรายการกันยกใหญ่ เอาพวกผู้ดำเนินรายการที่ชูประชาธิปไตยจอมปลอม และสนับสนุนการแก้มาตรา 112 ออกไปจากผังรายการจนเกลี้ยงสถานี พร้อมกับยกทิ้งบางรายการที่เกี่ยวกับการเมืองออกไปเกือบหมด เพื่อแลกกับการให้ คสช.ยอมให้กลับมาออกรายการได้
ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เรื่องก็แช่อยู่ที่ กสทช.-คสช.
ที่สำคัญ คสช.แสดงว่าจะอยู่ในอำนาจอีกร่วมๆ 15 เดือน อันนี้หมายถึงกรณีสถานการณ์เป็นปกติ แต่หากไม่ปกติก็อาจขยายออกไปอีกก็ได้ เชื่อได้ว่า Voice TV ซึ่งที่ผ่านมา 2 ปีกว่านับแต่เพื่อไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาล จนเป็นสื่อที่ได้เงินค่าโฆษณาจากหน่วยงานรัฐมาไม่น้อย เช่น ปตท.-ธนาคารออมสิน แต่ในช่วงรัฐบาล คสช.ดูแล้วหนีไม่พ้นต้องเป็นหนึ่งในสถานีโทรทัศน์ที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการมากแน่นอน งบโฆษณาหน่วยงานรัฐ มีสิทธิ์หายไปอื้อ เว้นแต่ทำตัวเป็นเด็กดีในยุค คสช. ไม่เสนอข่าวตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ คสช.มาก ก็อาจพอเอาตัวรอด ไม่อย่างนั้นธุรกิจในตระกูลชินวัตร อย่าง Voice TV ก็สะเทือน แถมหากสถานีแหลมอะไรออกมา คสช.ก็ยังใช้อำนาจสั่งยุติการแพร่ภาพได้ทุกเมื่อ
เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เห็นเหตุผลแล้วว่า ทำไม ทักษิณ ถึงเลือกที่อยู่เฉยๆ ปล่อยให้ คสช.บริหารอำนาจไป แล้วก็ยังเหตุผลที่อยู่หน้าฉากกับหลังฉากอีกมากมาย
คนอย่าง “ทักษิณ” บูชาเงินเหนือสิ่งอื่นใด มีหรือจะยอมให้ธุรกิจที่มีอยู่มากมายมีมูลค่ามหาศาลเสี่ยงเจ๊งด้วยน้ำมือของทหาร
เชื่อว่า ทักษิณคงประเมินแล้วว่าสู้อดทนรอไปเรื่อยๆ ยังไงวันหนึ่ง คสช.ก็ต้องลงจากอำนาจ ช้าสุดก็ประมาณ ไม่เกิน 14-15 เดือนต่อจากนี้ก็ต้องมีเลือกตั้ง ก็ค่อยไปสู้กันช่วงนั้นดีกว่า ช่วงนี้ก็ประคองสถานการณ์กันไป
จึงอย่าแปลกใจที่มีข่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย. พรรคเพื่อไทยส่งแกนนำพรรคระดับ ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรค-ชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ไปร่วมหารือเรื่องการปฏิรูปประเทศกับนายทหารระดับสูงที่กระทรวงกลาโหม ตามคำเชิญของคณะทำงานด้านการปฏิรูปประเทศของ คสช.
โดยมีข่าวว่าบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนบอกว่าพรรคพร้อมให้ความร่วมมือกับ คสช.ในการสร้างความปรองดอง
การที่เพื่อไทยให้ความร่วมมือกับ คสช.อย่างดีเช่นนี้ ก็เพราะยอมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไปพลางๆ ก่อน เข้าทำนองรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
เหมือนกับที่จู่ๆ ก็มีการออกมาเปิดเผยข่าว จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่พรรคอ้างว่า จารุพงศ์ ได้ส่งจดหมายยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 57 ซึ่งเป็นวันรัฐประหาร แต่พรรคได้รับหนังสือในวันที่ 16 มิ.ย. แต่ถือว่ามีผลทันที ทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดเดียวกับจารุพงศ์ทั้งหมด ต้องพ้นสภาพไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องการลาออกของจารุพงศ์ ในเรื่องลาออกวันไหน อะไร ยังไง ไม่สำคัญมาก เพราะตอนนี้ทุกพรรคอยู่ในช่วงสุญญากาศ แม้ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ คสช.มีประกาศให้คงสภาพการบังคับใช้ต่อไป
แต่เหตุที่ จารุพงศ์ ลาออก ก็น่าจะเป็นเพราะ เพื่อไทย ไม่ต้องการให้ตัวจารุพงศ์อยู่เป็นปัญหากับเพื่อไทยต่อไป เนื่องจากจารุพงศ์มีปัญหากับ คสช.รุนแรง มีการแสดงท่าทีอันแข็งกร้าว และท้าทายกับ คสช.อย่างมาก และเป็นคนที่หลบหนีการถูก คสช.เรียกมารายงานตัว
ทางพรรคไม่ต้องการให้ตัวจารุพงศ์มาทำให้พรรคโดนล่อเป้าตามไปด้วย ก็เลยให้ จารุพงศ์ ยื่นใบลาออกโดยให้มีผลไปตั้งแต่ 22 พ.ค. เพื่อลดแรงเสียดทานกับ คสช. ไม่ให้หาเหตุมาทำอะไรกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตได้นั่นเอง
กรณีถีบหัวหน้าพรรค จารุพงศ์พ้นจากเก้าอี้ ก็คือการประคองสถานการณ์ของทักษิณ และพรรคเพื่อไทยในยามนี้ เพื่อรอวันกลับมาในภายหน้านั่นเอง ไม่มีอะไรลึกซึ้ง
เพราะอย่างที่ใครต่อใครก็เห็น ต่อให้มีการออกกติกาเลือกตั้งกันขึ้นมาใหม่ มีการเขียนรัฐธรรมนูญกันออกมาอย่างไร จะใช้ระบบเลือกตั้งแบบไหน แต่หากสภาพการเมืองยังเป็นแบบนี้ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ปฏิรูปพรรค ไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถขึ้นมาแข่งขันกับเพื่อไทยได้ ดังนั้น ดูไปข้างหน้าอีกปีสองปี ยังไงเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้งอยู่ดี!
บทเรียนเลือกตั้งเมื่อปี 50 มันเห็นชัดแล้ว คราวนั้นขนาดทักษิณและไทยรักไทยโดนทุบขนาดหนัก โดยทั้งสารพัดคดีในชั้น คตส. พรรคไทยรักไทย ถูกยุบพรรค พวกอดีต ส.ส.และแกนนำไทยรักไทย แพแตก แยกย้ายกันไปตั้งพรรคต่างๆ เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน,รวมใจไทยชาติพัฒนา, มัชฌิมาฯ แถม คมช.ก็ยังช่วยพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงเลือกตั้งเมื่อปี 50 อยู่ข้างหลัง แล้วยังเขียนรัฐธรรมนูญปี 50 หวังสกัดระบอบทักษิณทุกวิถีทาง แต่สุดท้าย ทักษิณ และพรรคพลังประชาชน ก็ชนะเลือกตั้งอยู่ดี
เพียงแต่เลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาจไม่เหมือนปี 54 ที่เพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ยุคนี้ประชาชนรู้เห็นความเลวร้ายของทักษิณ และเพื่อไทย ที่เป็นเหลือบโกงกินประเทศชาติแล้ว แม้เพื่อไทยมีโอกาสสูงชนะเลือกตั้ง แต่ก็คงไม่มากเหมือนปี 54
รอบนี้ ทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทยก็คงคิดแบบเดียวกัน ว่ายังไงก็ยังน่าชนะเลือกตั้งอยู่ดี ตอนนี้ถือเป็นช่วงพักผ่อนยาวไปก่อน เพื่อเก็บแรงไว้ในช่วงหนึ่งปีข้างหน้าค่อยมาว่ากันใหม่ หลังเริ่มเห็นกติกาเลือกตั้งที่จะคลอดกันออกมา
ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หากถามว่าใครจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ เชื่อว่า เสียงเชียร์ในพรรค และคนเสื้อแดง คงเทให้ จาตุรนต์ ฉายแสง อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะสร้างภาพการเมืองมากไปหน่อย กับการให้ทหารมาคุมตัวไปที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เพื่อสร้างภาพว่า ไม่ยอมก้มหัวให้รัฐประหาร
แต่ก็ถือว่า จาตุรนต์ ดูดีที่สุด สำหรับเพื่อไทยในเวลานี้ อาจไม่ถูกใจ คสช. แต่ก็เป็นสินค้าที่เอามาขายกับมวลชนคนเสื้อแดงได้