ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าคราวนี้อาจไม่หวือหวาครึกโครมเหมือนกับการจ่ายหนี้ให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมใหม่ๆ ก็ตาม แต่หากวัดจากความรู้สึกตามลักษณะนิสัยของคนไทยส่วนใหญ่แล้วก็ต้องบอกว่า “เข้าตา” และถ้าทำได้ตามที่ปากพูดก็คงได้ใจจากชาวบ้านขนานแท้ไปอีกดอกใหญ่แน่ๆ
แน่นอนว่าโครงการดังกล่าวที่กำลังพูดถึงก็คือการสั่งรื้อโครงการสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเฉพาะการขายเกินราคาที่กำหนดเอาไว้ในสลากที่ราคาใบละ 80 บาท แต่ในความเป็นจริงราคาแพงไปกว่านั้น บางงวดที่มีหมายเลขเต็งๆ ราคาอาจสูงขึ้นไปถึงใบละ 120-130 บาทก็มี กลายเป็นว่าเป็นการเสี่ยงโชคร้ายหลายชั้นคือนอกจากเสียเงินจากการไม่ถูกรางวัลแล้วยังต้องมาเสียเงินจากการซื้อราคาแพงอีก คนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านตั้งแต่ระดับกลางลงมา ต้องการเสี่ยงโชค มีความฝันหวังรวยทางลัด หรือแม้แต่ลุ้นแค่รางวัลเลขท้ายก็พอ มันเหมือนกับความเดือดร้อนที่ถูกบังคับ เพราะถ้าไม่เสี่ยง มันก็ไม่มีโอกาสถูกรางวัล ครั้นจะเสี่ยงก็ต้องตัดใจซื้อสลากราคาแพง
จากการเปิดเผยของ พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบกในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ระบุว่าต้องรื้อกันทั้งโควตาและผลประโยชน์ว่าอยู่กับใคร หากรู้ก็ให้ยกเลิกและนำกลับมาเข้าระบบ นำมาพัฒนาบ้านเมือง รวมทั้งเรื่องส่วนต่างด้านราคา จะรีบนำข้อสรุปทำความเห็นเสนอต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ทันการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลในงวดวันที่ 1 กรกฎาคมนี้เลย
เรื่องแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องระดับชาวบ้าน ที่แทบทุกคนให้ความสนใจฟังกันหูผึ่ง และที่ผ่านมา หลายรัฐบาล นักการเมืองที่มีอำนาจก็พยายามออกแอ็กชันแก้ปัญหามาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็ทำไม่ได้ ลักษณะจะออกมาในลักษณะรื้อผลประโยชน์จากอีกคนหนึ่งให้มาตกกับพวกของตัวเอง หาประโยชน์รวยกันพุงปลิ้นต่อไป เหมือนอย่างรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ส่งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกองสลากอยู่ตลอดเวลา ทั้งเป็นบอร์ด และเป็นทั้งผู้อำนวยการกองสลาก เพราะนี่คือแหล่งรายได้มหาศาล และเงินจากแหล่งนี้แหละที่นอกจากผ่องถ่ายนำเข้ากระเป๋าแล้วยังนำมาใช้ในโครงการประชานิยมซื้อใจประชาชนและข้าราชการบางหน่วยงานอย่างเช่น ตำรวจ ที่เคยได้รับเงินจำพวกนี้ด้วย
การขยับเรื่องนี้ออกมาก็อาจถือได้ว่าเป็นการ “คืนความสุข” ให้กับคอหวย ซึ่งก็คือชาวบ้านระดับรากหญ้าของแท้ หากทำได้สำเร็จทำได้จริงในเวลาอันรวดเร็วก็เชื่อได้เลยว่าความศรัทธา ความเชื่อมั่นกับ คสช.จะเพิ่มขึ้นอีกอีกโข เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกเรื่องในประเทศนี้ถ้าทำจริงก็ทำได้ และยังพิสูจน์ให้เห็นว่าทำไม่ได้เพราะผลประโยชน์ของนักการเมืองทั้งสิ้น ขณะที่ คสช.แม้ว่าจะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จแต่ถ้าทำเพื่อประโยชน์และความต้องการของคนส่วนใหญ่ มันก็พอหลิ่วตายอมรับได้เหมือนกัน เพราะหากพึ่งพาระบอบการเมืองแบบเดิมมันก็หวังไม่ได้
อย่างไรก็ดี ต้องรอดูว่าทำได้และทำจริงแค่ไหน แต่ในเบื้องต้นตอนนี้ยังเชื่อว่าภายใต้ดวงอาทิตย์นี้คงไม่มีอะไรที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำไม่ได้
อีกเรื่องหนึ่งคงเรียกเสียงฮือฮาไม่แพ้กันนั่นก็คือการอนุมัติงบกลางจำนวนกว่า 6 พันล้านบาทเพื่อชดเชยให้แก่ชาวสวนยางพาราทั่วประเทศอีกนับแสนรายในราคาไร่ละ 2,520 บาท จำนวนรายละไม่เกิน 25 ไร่จากความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และผลจากราคายางพาราตกต่ำมาตั้งแต่ต้นปี 2557 ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการยืนยันออกมาจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าเงินจำนวนนี้จะกระจายถึงมือชาวสวนยางภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
แน่นอนว่านี่คือข่าวดีของเกษตรกรชาวสวนยางพารา ซึ่งเวลานี้ถือว่ามีอยู่ทั่วประเทศทั้งภาคเหนือ อีสาน แม้ว่าสัญญลักษณ์ยังเป็นชาวสวนยางทางภาคใต้ก็ตาม แต่นั่นก็ย่อมหมายความว่าเมื่อชาวนาเป็นคนในภาคกลาง เหนือ อีสาน ชาวสวนยางก็อาจจะหมายถึงภาคใต้ก็ได้ สรุปก็คือโปรยความสุขกันทั่วประเทศแล้วประมาณนั้น
ต้องบอกว่า เรื่องแบบนี้ต้องมีการเตรียมการ เรียงลำดับเร่งด่วนก่อนหลัง จากเรื่องจ่ายหนี้สินชาวนา ที่ส่วนใหญ่เป็นฐานมวลชนให้กับระบอบทักษิณ เมื่อจ่ายเงินความเดือดร้อนก็บรรเทา ความหลงไหลที่เคยมีให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวก็ลืมเลือนลงไป คราวนี้มาจัดการเรื่องชาวบ้านล้วนๆ เพิ่มเข้ามาอีกชุดใหญ่นั่นคือ ล้างโครงสร้างการขายหวยบนดิน รื้อผลประโยชน์ให้ตกมาเข้ารัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามด้วยเงินชดเชยชาวสวนยางพารา ที่แทบหมดหวังจนลืมกันไปแล้วก็ได้ใจไปเต็มๆ และต่อไปถ้าสามารถดึงให้ราคายางพาราสูงขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ระงับการระบายยางในสต๊อกไปแล้ว ทำให้อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ราคาตกต่ำลงไปอีก และถ้ามีการจ่ายเงินออกมาตามกำหนดที่ว่า คงทำให้แฮปปี้กันตามๆ กัน
แม้ว่าหากมองกันอย่างรู้ทันว่านี่คือประชานิยมอีกแบบหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติจัดให้ แต่ขณะเดียวกันย่อมมีผลทางการเมือง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนส่วนใหญ่ ให้เห็นถึงความเอาจริง เข้ามาสะสางความมิชอบ ความล้มเหลวที่พวกนักการเมืองทำเอาไว้ นำมารื้อปรับปรุงใหม่ ที่สำคัญด้วยอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากใช้ในทางดีมันก็สามารถแก้ปัญหาได้ทันใจ ไม่ต้องรอนาน เพราะหลายปัญหารอไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละประชาชนก็ต้องคอยจับตา ตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกันว่าในที่สุดแล้วว่าเป็นของจริงหรือเปล่า!!