**คลอดออกมาแล้วสำหรับแนวทางในการจัดระเบียบบ้านเมือง และการปฏิรูปทุกภาคส่วน โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อค่ำวันที่ 30 พฤษภาคม แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียด มีเพียงแค่หลักการคร่าวๆ ออกมาก่อน แต่ก็ได้เห็นภาพบ้างแล้ว รวมไปถึงระยะเวลาที่จะปรากฏ "ผลสำฤทธิ์" นั่นคือ "เป็นรูปธรรมจับต้องได้" ตามที่เขาได้พยายามเน้นย้ำให้เห็น
สำหรับเป้าหมายข้างหน้าที่กำหนดเอาไว้หรือ "โรดแม็ป" ที่แถลงโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบ่งเป็นสามขั้นตอน หรืออาจเรียกว่าบันใดสามขั้นก็ได้ นั่นคือ ในช่วงแรกเป็นช่วงของการรักษาความสงบสร้างความปรองดองแบบเร่งด่วน ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน จากนั้นเป็นช่วงของการตั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลบริหารประเทศ มีสภานิติบัญญัติ มีธรรมนูญชั่วคราว ขั้นตอนต่อมาคือ การตั้งสภาปฏิรูป ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า เมื่อสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม ภายใต้กฎกติกาใหม่ เป็นขั้นตอนที่สาม ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาประมาณหนึ่งปี หรือปีเศษ ไม่เกินปีหกเดือน
แน่นอนว่า หากพูดกันในเวลานี้ ในสถานการณ์ที่เพิ่งใช้กำลังก่อการรัฐประหารยึดอำนาจกันมาไม่นาน มีการใช้คำสั่งเข้มงวดแบบนี้ พูดอะไรออกมา ย่อมต้องมีฝ่ายที่ไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ตามที่แถลงออกมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก มีสิทธิ์จะคิด จะเชื่อแบบนั้น แต่คนที่ต้องมีหน้าที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าทำได้จริงทุกเรื่องที่ให้สัญญาเอาไว้หรือไม่
** ถ้าทำได้ก็ไม่มีปัญหา จะได้รับการแซ่ซ้องเยี่ยงรัฐบุรุษ จะเป็นรูปแบบใหม่ในประเทศไทยที่ผู้นำกองทัพเป็นผู้เปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไปสู่ความทันสมัยทุกด้าน สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกได้เป็นครั้งแรกในสายตาของนานาชาติ ขณะเดียวกัน หากผลออกมาในทางตรงกันข้าม หากลงท้ายผลออกมามีแต่เรื่องไม่สุจริต ก็น่าหลับตามองเห็นอนาคตกันได้เลย
หากพิจารณาความเป็นไปได้ในทุกขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรกในเรื่องการรักษาความสงบ และสร้างความปรองดอง ในเฉพาะหน้าไม่น่าจะมีปัญหาอุปสรรคใหญ่หลวงใดๆ เพราะนาทีนี้ ยังถือว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุนอย่างท่วมท้น อาจยังมีการต่อต้านบ้างประปรายจากพวกเครือข่ายซากเดนของพวกอำนาจทรราชย์เก่าของ ระบอบทักษิณ แต่นั่นเพียงแค่สร้างความรำคาญเท่านั้น หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ต้องการเห็นบ้านเมืองเดินหน้าก็ไม่มีความหมาย
ส่วนที่สองเรื่องการตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง แม้ว่าหลายคนจะพยายามคาดเดาว่าจะเป็นใคร รวมถึงคาดเดาไปถึงขั้นที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะมาเป็นนายกฯ เสียเองก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งตราบใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนี้ ดังนั้น การที่เขาจะเป็นนายกฯ หรือไม่ มันไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนที่เป็นกัปตันถือหางเสือ ก็ยังเป็นตัวเขาอยู่ดี ไม่มีปัญหา
แต่ปัญหาใหญ่ก็คือไม่มีการปฏิรูป หรือมีการ "หมกเม็ด" รวมไปถึงมีการตุกติก ไม่ได้บริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ หรือลุแก่อำนาจ มีเจตนาไม่ยอมปล่อยอำนาจ มีการสืบทอดอำนาจไปเรื่อย นั่นแหละปัญหา แต่ก็เป็นปัญหาที่จะเกิดกับตัวเขาเอง เพราะเชื่อว่าประชาชนจะไม่ให้โอกาสอีก
แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการเมือง ความตื่นตัวของคนไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่องนานหลายปี จนมีกระแสรังเกียจนักการเมืองที่ฉ้อฉล ข้าราชการที่ไม่รับใช้ประชาชน ทำตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมือง จนมีกระแสให้เกิดการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับรู้ และเข้าใจจึงนำไปสู่คำมั่นสัญญาว่า จะต้องมีการปฏิรูปทุกภาคส่วนทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่นๆ ก่อนการเลือกตั้ง
** ดังนั้นการกำหนดระยะเวลาเพียงหนึ่งปี หรือปีเศษ จึงไม่ใช่ปัญหา เวลาไม่นานเกินไป หากมีความพยายามในการตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เชื่อว่าทุกคนรอได้ ในทางตรงกันข้าม หากไม่ใช่ตามนั้น อย่าว่าแต่หนึ่งปีเลย แค่หนึ่งเดือน ก็มากเกินไป !!
สำหรับเป้าหมายข้างหน้าที่กำหนดเอาไว้หรือ "โรดแม็ป" ที่แถลงโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบ่งเป็นสามขั้นตอน หรืออาจเรียกว่าบันใดสามขั้นก็ได้ นั่นคือ ในช่วงแรกเป็นช่วงของการรักษาความสงบสร้างความปรองดองแบบเร่งด่วน ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน จากนั้นเป็นช่วงของการตั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลบริหารประเทศ มีสภานิติบัญญัติ มีธรรมนูญชั่วคราว ขั้นตอนต่อมาคือ การตั้งสภาปฏิรูป ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า เมื่อสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม ภายใต้กฎกติกาใหม่ เป็นขั้นตอนที่สาม ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาประมาณหนึ่งปี หรือปีเศษ ไม่เกินปีหกเดือน
แน่นอนว่า หากพูดกันในเวลานี้ ในสถานการณ์ที่เพิ่งใช้กำลังก่อการรัฐประหารยึดอำนาจกันมาไม่นาน มีการใช้คำสั่งเข้มงวดแบบนี้ พูดอะไรออกมา ย่อมต้องมีฝ่ายที่ไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ตามที่แถลงออกมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก มีสิทธิ์จะคิด จะเชื่อแบบนั้น แต่คนที่ต้องมีหน้าที่พิสูจน์ให้เห็นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าทำได้จริงทุกเรื่องที่ให้สัญญาเอาไว้หรือไม่
** ถ้าทำได้ก็ไม่มีปัญหา จะได้รับการแซ่ซ้องเยี่ยงรัฐบุรุษ จะเป็นรูปแบบใหม่ในประเทศไทยที่ผู้นำกองทัพเป็นผู้เปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไปสู่ความทันสมัยทุกด้าน สร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกได้เป็นครั้งแรกในสายตาของนานาชาติ ขณะเดียวกัน หากผลออกมาในทางตรงกันข้าม หากลงท้ายผลออกมามีแต่เรื่องไม่สุจริต ก็น่าหลับตามองเห็นอนาคตกันได้เลย
หากพิจารณาความเป็นไปได้ในทุกขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรกในเรื่องการรักษาความสงบ และสร้างความปรองดอง ในเฉพาะหน้าไม่น่าจะมีปัญหาอุปสรรคใหญ่หลวงใดๆ เพราะนาทีนี้ ยังถือว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุนอย่างท่วมท้น อาจยังมีการต่อต้านบ้างประปรายจากพวกเครือข่ายซากเดนของพวกอำนาจทรราชย์เก่าของ ระบอบทักษิณ แต่นั่นเพียงแค่สร้างความรำคาญเท่านั้น หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ต้องการเห็นบ้านเมืองเดินหน้าก็ไม่มีความหมาย
ส่วนที่สองเรื่องการตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง แม้ว่าหลายคนจะพยายามคาดเดาว่าจะเป็นใคร รวมถึงคาดเดาไปถึงขั้นที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะมาเป็นนายกฯ เสียเองก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งตราบใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนี้ ดังนั้น การที่เขาจะเป็นนายกฯ หรือไม่ มันไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนที่เป็นกัปตันถือหางเสือ ก็ยังเป็นตัวเขาอยู่ดี ไม่มีปัญหา
แต่ปัญหาใหญ่ก็คือไม่มีการปฏิรูป หรือมีการ "หมกเม็ด" รวมไปถึงมีการตุกติก ไม่ได้บริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ หรือลุแก่อำนาจ มีเจตนาไม่ยอมปล่อยอำนาจ มีการสืบทอดอำนาจไปเรื่อย นั่นแหละปัญหา แต่ก็เป็นปัญหาที่จะเกิดกับตัวเขาเอง เพราะเชื่อว่าประชาชนจะไม่ให้โอกาสอีก
แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการเมือง ความตื่นตัวของคนไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่องนานหลายปี จนมีกระแสรังเกียจนักการเมืองที่ฉ้อฉล ข้าราชการที่ไม่รับใช้ประชาชน ทำตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมือง จนมีกระแสให้เกิดการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับรู้ และเข้าใจจึงนำไปสู่คำมั่นสัญญาว่า จะต้องมีการปฏิรูปทุกภาคส่วนทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่นๆ ก่อนการเลือกตั้ง
** ดังนั้นการกำหนดระยะเวลาเพียงหนึ่งปี หรือปีเศษ จึงไม่ใช่ปัญหา เวลาไม่นานเกินไป หากมีความพยายามในการตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เชื่อว่าทุกคนรอได้ ในทางตรงกันข้าม หากไม่ใช่ตามนั้น อย่าว่าแต่หนึ่งปีเลย แค่หนึ่งเดือน ก็มากเกินไป !!
