xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” แจง 23 ทูตไทย ลั่นสิงหาคมนี้มี สนช. แน่ พ้อทำงานกดดันมีแต่คนรัก-ต้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หัวหน้า คสช. พบ 23 ทูตไทยรับฟังฟีดแบ็กนานาชาติ ลั่นสิงหาคมนี้มี สนช. แน่ พ้อทำงานกดดัน เหตุมีคนรักมาก และคนต่อต้านในคราวเดียวกัน โฆษก กต. เผยส่วนใหญ่เข้าใจเหตุผล คสช. พร้อมติดตามโรดแมป 3 ระยะ ยังเชื่อ “ญี่ปุ่น” ยังไม่ย้ายฐานผลิตหนีไทย ไร้ประเทศบอยคอตไทย ปัดข่าวออสซี งดออกวีซ่า “ภริยาประยุทธ์”



วันนี้ (11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงภายหลังการประชุมเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ประจำเมืองต่างๆ 28 ประเทศ ในกลุ่มตะวันตก ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงและสร้างความเข้าใจกับประชาคมโลกถึงสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ใช้ 3 ช่องทางหลัก คือ 1. การคุยกับคณะทูตและสื่อมวลชนที่กรุงเทพฯ 2. เรามีสถานทูต สถานกงสุลใหญ่ คณะผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติกว่า 95 ประเทศ ซึ่งมีหน้าที่ในการชี้แจง สร้างความเข้าใจถึงสถานการณ์ และ 3. นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีภารกิจเข้าร่วมการประชุมในประเทศต่างๆ จึงเป็นโอกาสที่จะชี้แจงถึงสถานการณ์และการดำเนินการโรดแมปของไทย และใช้โอกาสหารือกับคณะหัวหน้าประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ

ทั้งนี้ เอกอัคราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทย 28 ประเทศ 23 ราย ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศตะวันตก โดยสาเหตุที่เราเลือกกลุ่มประเทศตะวันตก เพราะกลุ่มเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพยุโรป อาจจะมีข้อกังวลเป็นพิเศษกับประเทศไทย หรือประกาศจุดยืนหรือมาตรการตอบโต้ ซึ่งหลังจากที่ท่านทูตไทยประจำประเทศเหล่านี้ทำความเข้าใจกับรัฐบาลในประเทศเขา รวมทั้งทำความเข้าใจกับฝ่ายนิติบัญญัติ ภาคเอกชน ฝ่ายวิชาการ สื่อมวลชนในประเทศของเขา โดยปลัดกระทรวงการต่างประเทศเห็นควรว่าถึงเวลาที่จะเชิญทูตทั้งหลายมาหารือที่กรุงเทพฯ เพื่อประเมินท่าที และดูว่าจะมีประเด็นอะไรที่เราจะต้องชี้แจงเป็นพิเศษ พร้อมกับนำเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่เข้าพบ พล.อ. ประยุทธ์, พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และผู้บริหาร คสช.

นายเสข กล่าวด้วยว่า จากการพูดคุยกับทูต และกงสุลทั้ง 23 คน เพื่อประเมินท่าทีของประเทศต่างๆ นายสีหศักดิ์ ได้รายงานให้หัวหน้า คสช. ทราบว่า กลุ่มประเทศตะวันตกมีความเข้าใจในสถานการณ์ของเรามากขึ้น มีความร่วมมือที่ดีขึ้น โดยเห็นได้จากขณะนี้ไม่มีประกาศจากรัฐบาลในประเทศเหล่านี้เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศเหล่านี้มองว่าประเทศไทยเป็นมิตรประเทศที่สำคัญ และมีความสัมพันธ์อันยาวนาน และมีความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติ และไทยยังมีความสำคัญในการขับเคลื่อนอาเซียนอีกด้วย นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศยังได้รายงานให้หัวหน้า คสช. ทราบเรื่องชุมชนไทยในต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสถานทูตกงสุลใหญ่ ที่ต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มคนเหล่านี้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เสนอความเห็นเรื่องการปฏิรูป และยังรายงานถึงการชี้แจงเรื่องความเข้าใจผิดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ของสถานทูตที่จะต้องชี้แจง

นายเสข กล่าวต่อว่า หัวหน้า คสช. ได้ขอบคุณการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ สถานทูต และสถานกงสุลใหญ่ทั่วประเทศ ที่ได้ชี้แจงและอธิบายให้ประเทศต่างๆ จนมีความเข้าใจที่ดีขึ้น ถึงแม้กลุ่มประเทศตะวันตกจะมีหลักการในเรื่องค่านิยมและหลักประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ตระหนักถึงบทบาทของไทยในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องมีความร่วมมือที่ดีกับไทย ซึ่งในขั้นต่อไปคือเรื่องของโรดแมป โดยหัวหน้า คสช. ได้อธิบายคณะทูตถึงระยะเวลาของโรดแมป เพื่อให้นำกลับไปชี้แจงต่อประเทศเจ้าบ้าน นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการสร้างแนวร่วมในประเทศต่างๆ ที่เรามีความสัมพันธ์อันยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือ ส.ส. ส.ว. ของประเทศนั้นๆ ก็เป็นเครือข่ายที่จะช่วยสร้างความเข้าใจให้รัฐบาล

นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนความเห็นกับ ผบ.สูงสุด ในฐานะที่กำกับดูแลความมั่นคง โดย ผบ.สูงสุด ได้อธิบายถึงโครงสร้างการทำงาน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และ ผบ.สูงสุด มีความประสานในการส่งข้อมูลให้กับทูตในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงให้ประเทศเจ้าบ้าน และ ผบ.สูงสุด ยังเน้นเรื่องการที่ไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยอธิบายให้ทูตต่างๆ ฟังถึงการตั้งศูนย์เตรียมความพร้อม ที่กระทรวงการต่างประเทศจะอยู่ในคณะกรรมการนี้ด้วย โดยสรุปแล้วประเทศตะวันตกก็เข้าใจไทยดีขึ้น ตั้งแต่มีทหาร ประเทศไทยก็เริ่มกลับมาสู่ปกติสุข เอกชนในยุโรปก็แสดงความเชื่อมั่นศักยภาพธุรกิจไทย มองว่าไทยเป็นหุ้นส่วนระยะยาวที่จะมาลงทุน เช่น ประเทศเยอรมนี เป็นต้น

นายเสข กล่าวอีกว่า เราพยายามอธิบายให้คณะทูตเข้าใจถึงบริบทภายในประเทศไทย โดยอธิบายว่าไม่สามารถเอาบรรทัดฐานของเขามาเทียบกับเราได้ แต่ต้องมองบริบทที่ประเทศไทยซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากใน 9 ปีที่ผ่านมาการทำงานของราชการไม่สามารถทำอย่างเต็มที่ มีความแตกแยก ข้าราชการไม่สามารถที่จะรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งการเลือกตั้งเมื่อ 2 ก.พ. เป็นโมฆะ ฉะนั้น ทางตัน จึงต้องหาทางออก โดยฝ่ายทหารเข้ามาควบคุมการบริหารด้วยความจำเป็นและคำนึงถึงบริบท ซึ่งคณะทูตในประเทศไทยเห็นสภาพตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา โดยคณะทูตมีความเข้าใจมากขึ้น เขาเห็นเป้าหมายของ คสช. ที่ทำให้สถาบันประชาธิปไตยมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน หลังจากการชี้แจงทางต่างประเทศจะหันจับตามองโรดแมปที่หัวหน้า คสช. ประกาศเอาไว้ 3 ระยะว่าจะมีความคืบหน้าอย่างไร

นายเสข กล่าวว่า สำหรับกรณีมีข่าวว่าโตโยต้าจะย้ายฐานผลิตไปอินโดนีเซียนั้น ในการประชุมทูตไทยประจำญี่ปุ่นยืนยันว่า ภาคเอกชนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย และยังสนใจที่มาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ขณะที่ออสเตรเลียที่ลดระดับปฏิสัมพันธ์ด้านการทหารนั้น เมื่อมีการประกาศโรดแมปเขายืนยันว่าจะกลับไปทบทวน ทั้งนี้ ปัจจุบันออสเตรเลียจำกัดแค่การเดินทางเข้าประเทศของบุคคลใน คสช. เท่านั้น แต่ข้าราชการประจำสามารถเดินทางได้ปกติ ส่วนกระแสข่าวว่าออสเตรเลียไม่อนุมัติวีซ่าให้ภรรยา พล.อ.ประยุทธ์ เข้าประเทศนั้น เป็นแค่ข่าวลือ ทางสถานทูตออสเตรเลียยืนยันแล้วว่าภรรยา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยมายื่นขอวีซ่า อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดบอยคอตประเทศไทย

นายเสข กล่าวถึงกรณี นายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งมีรายชื่อตามคำสั่ง คสช. ให้มารายงานตัวตั้งองค์กรต่อต้านการรัฐประหาร หรือองค์กรพลัดถิ่น ว่า ในแง่ของบุคคลที่จะมีการจัดตั้งองค์กร หรือมีความเคลื่อนไหวในต่างประเทศ บุคคลเหล่านี้จะสื่อสารทางสื่อ ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก เช่น กัมพูชา โดยนายจักรภพประกาศว่าจะตั้งองค์กรการเคลื่อนไหวต่างๆ เราได้ทำการตรวจสอบไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รัฐบาลกัมพูชายืนยันว่ากัมพูชายึดหลักในการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศอาเซียนด้วยกัน และยืนยันท่าทีของสมเด็จ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ว่าจะไม่ให้องค์กรใดใช้ประเทศเป็นที่เคลื่อนไหวด้านการเมือง จะเห็นว่าช่วงหลังกัมพูชาประกาศว่านายจักรภพไม่ได้อยู่ในกัมพูชาแล้ว ฉะนั้น ประเทศใดเมื่อมีข่าวว่ามีบุคคลใดก็ตามจะใช้ประเทศใดเป็นฐานในการตั้งองค์กรอิสระในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เราจะดำเนินการตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ เพราะเขาใช้การสื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย อาจอยู่ในประเทศนี้แล้วโทรศัพท์สัมภาษณ์กับสื่ออีกประเทศก็ได้ ข้อมูลตรงนี้ต้องมีการตรวจสอบที่อยู่ให้ชัดเจน เวลานี้ยังไม่สามารถจะรู้ได้ว่าตัวตนบุคคลเหล่านี้อยู่ที่ไหน ได้เพียงติดตามผ่านเฟซบุ๊ก

นายเสข กล่าวว่า ในที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงต่อคณะทูตด้วยว่า สำหรับการเรียกบุคคลมารายงานตัว เป็นเรื่องของการเรียกมาเพื่อขอความร่วมมือไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ไม่ได้มีการทรมาน อย่างกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีใครถาม ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นการขอให้มาพูดคุย รับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน และปล่อยตัวทันที ไม่ได้มีการควบคุมตัวอย่างที่เป็นข่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงหนึ่งการประชุมร่วมกับทูต และกงสุลไทยจาก 23 ประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากเห็นการใช้กลไกกฎหมายให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ประชาชนเชื่อมั่นกฎหมายมากขึ้น สถาบันต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง เพราะที่ผ่านมามีการหมิ่นสถาบัน เกิดข่าวลือที่ไม่ถูกต้องในต่างประเทศ สถาบันถือเป็นเสาหลักของประเทศ ไม่อยากให้ดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายปกป้องสถาบัน ซึ่งคนที่รักสถาบันจะมีวิธีการต่างๆ ในการปกป้อง จึงอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญตรงนี้ และอยากให้ทูตไปอธิบายให้ต่างชาติเข้าใจว่าทุกประเทศมีศักดิ์ศรีของตัวเอง และอยากให้เป็นมิตรกับประเทศไทย และให้กำลังใจกับไทยที่จะก้าวผ่านตรงนี้ พร้อมกันนี้ อยากให้ทูตไปทำความเข้าใจว่าไม่ให้ใช้ประเทศเป็นฐานความเคลื่อนไหว ขณะเดียวกัน อยากให้ไปสร้างความเข้าใจ เพราะรัฐประหารไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ประเทศไหน ก็มักจะเอาการเมืองนำ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ยืนยันถึงกรอบเวลาที่ชัดเจนในการบริหารราชการแผ่นดิน ว่า จะจัดตั้งรัฐบาลภายใน 3 เดือน ให้นับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. เป็นต้นไป โดยจะมีธรรมนูญปกครองชั่วคราว ที่จะมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสภาปฏิรูป โดยในช่วงเดือน ส.ค. นี้จะมี สนช. อย่างแน่นอน ร่วมถึงการกำหนดสัดส่วนตัวแทนจากภาคส่วนใดบ้าง ซึ่งจะมีจำนวนนับร้อยคน ทั้งนี้ เมื่อมีรัฐบาลเกิดขึ้น ทาง คสช. ก็ยังอยู่ที่จะดูแลความสงบอยู่ โดยทำงานควบคู่กันไปกับรัฐบาล และยืนยันด้วยว่าวันนี้ที่ คสช. เข้ามาเพื่อมาปลดล็อกกฎหมายที่ไม่เป็นกฎหมายที่ไม่สามารถใช้ได้จริง ดังนั้น จึงอยากให้ต่างประเทศให้โอกาสประเทศไทย และให้กำลังใจในการแก้ปัญหาภายในประเทศ ขณะเดียวกัน ต่างประเทศได้มองประเทศไทยว่าการทำรัฐประหารครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มีมา 12 ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีรถถัง ไม่เสียเลือดเสียเนื้อ และไม่มีการยึดทรัพย์ ถ้าเทียบกับการทำรัฐประหารในต่างประเทศ ไทยไม่มีการใช้ความรุนแรง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า การทำงานในวันนี้มีความกดดัน เพราะมีคนรักมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีคนต่อต้าน คนด่า ตนไม่ได้โกรธ ไม่ท้อแท้ และยังคงตั้งหน้าทำงานต่อไป เพื่อให้คนไทยมีจริยธรรมมากขึ้น ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาทุจริต สร้างชาติของเราขึ้นใหม่ด้วยสติปัญญา ให้โลกยอมรับ และวันนี้อยากจะคืนศักดิ์ศรี เกียรติยศให้กับข้าราชการไทยเป็นข้าราชการที่ดี เป็นที่พึ่งของประชาชน โดยฝ่ายความมั่นคงจะทำงานร่วมกับข้าราชการในการบริหารประเทศ โดยใช้กฎหมายปกติให้มากที่สุด แม้ว่าวันนี้ยังประกาศใช้กฎอัยการศึก



กำลังโหลดความคิดเห็น