เมื่อน้ำลด ตอก็ผุด ในที่สุดข้อมูลผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลยิ่งลักษ์ณ ชินวัตร ปกปิดไม่ให้ประชาชนรับรู้ ตลอดระยะเวลาสองปีของการดำเนินโครงการก็ถูกเปิดเผยออกมา หลังการยึดอำนาจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.เพียงไม่กี่วัน
คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ตรวจสอบผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในช่วง 2 ปีกว่า (2554/2555, 2555/2556, 2556/2557) พบว่ามีผลขาดทุนสูงขึ้นกว่าเท่าตัว หรือขาดทุนกว่า 5 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าราคาต้นทุน 1.5 หมื่นบาทต่อตัน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้คำนวณต้นทุนข้าวเปลือกที่แปรสภาพเป็นข้าวสารไว้เฉลี่ยที่ราคา 2.3 หมื่นบาทต่อตัน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวไปที่ราคา 1.2-1.4 หมื่นบาทต่อตัน และเมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการได้ขายข้าวไปด้วยราคาเพียงตันละ 8 พันบาทเท่านั้น ทำให้มีส่วนต่างราคาขายกับราคาต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 5 แสนล้านบาท
ก่อนหน้านี้ เมื่อต้นปีที่แล้ว นางสุภา ปิยะจิตติ ซึ่งขณะนั้น เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้ประเมินผลขาดทุนของโครงการนี้ว่า น่าจะประมาณ 2.5-3 แสนล้านบาท ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่พอใจ สั่งการให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ย้ายนางสุภาให้พ้นจากการทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการฯ และต่อมามีการแต่งตั้ง นายกุลิศให้ทำหน้าที่นี้แทน
คณะอนุกรรมการฯ ยังพบว่า ข้าวสารหายไปจากสต๊อกอีกราว 2.8 ล้านตันนั้น โดยในสต๊อกไม่ได้มีข้าวอยู่จริง เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น และยังพบว่ามีข้าวเสื่อมคุณภาพอีกจำนวนมากที่ยังรอให้เซอร์เวเยอร์ตีราคา ซึ่งหากมีการตีราคาแล้ว คาดว่าจะทำให้ผลขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวจะเพิ่มมากกว่า 5 แสนล้านบาท
เมื่อเร็วๆ นี้เช่นกัน ที่นายนิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิเสธว่า ข้าวไม่ได้หาย เพียงแต่ไม่ได้ลงบัญชี ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการตรวจสอบของคระอนุกรรมการฯ ที่บอกว่า มีการลงบัญชีแต่ไม่มีข้าว หรือเป็นสต๊อกลมนั่นเอง
ตลอดระยะเวลา 2 ปีของโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ในราคาที่สูงกว่าตลาดโลก รัฐบาลพูดโกหก ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งออกแบบจีทูจี สต๊อกข้าวในโกดัง ตัวเลขการขาดทุนของโครงการ และผลประโยชน์ที่อ้างว่าจะไปตกอยู่กับชาวนา
เมื่อใดที่มีผู้เห็นต่าง คัดค้านโครงการนี้ โดยแสดงตัวเลข ข้อมูลซึ่งมีที่มาที่ไปชัดเจนให้เป็นที่ประจักษ์ รัฐบาลทำได้อย่างมากก็เพียงอ้างลอยๆ ว่า ความเห็น ข้อมูลของผู้ที่เห็นต่างเหล่านั้น ไม่จริง แต่ไม่สามารถนำข้อมูล หลักฐาน มาพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ที่ว่าไม่จริงนั้น ตรงไหน และที่ว่าจริงนั้น จริงอย่างไร
ทีดีอาร์ไอประเมินว่าโครงการนี้จะมีผลขาดทุนไม่ต่ำกว่า 4-8 แสนล้านบาท หากขายข้าวในสต๊อกได้หมดใน 5 ปีก็ขาดทุนประมาณ 4 แสนล้านบาท หากขายไม่หมดก็อาจจะขาดทุนถึง 8 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตเกษตรกรดีขึ้น เพราะส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของเครือข่ายระบบทักษิณที่ออกแบบไว้รองรับโครงการคอร์รัปชั่นจากการจำนำข้าวนี้ แต่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับผลขาดทุนนี้ นอกจากนี้ ระบบการส่งออกข้าวของภาคเอกชน ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้
โครงการรับจำนำข้าว จึงไม่ต่างอะไรจากการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงของระบอบทักษิณ นอกจากจะปล้นเอาเงินไปแล้ว ยังเผายังทำลายทรัพย์สิน คือ ตลาดส่งออกข้าวที่ประเทศไทยครองความเป็นเจ้าตลาดมานานหลายสิบปี ให้ย่อยยับลงไปภายในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น
คสช.ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งกำลังสอบสวนผู้ที่ต้องสงสัยว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตในโครงการนี้ ตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ลงมาจนถึงอดีตรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายนิวัติธำรง และนายยรรยง พวงราช จะต้องเร่งทำคดีนี้โดยเร็ว เพื่อลากตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ นอกจากนั้น ยังสมควรเปิดเผยข้อมูลเกียวกับการดำเนินการอย่างละเอียด เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้ประชาชนได้เห็นว่า ระบอบทักษิณออกแบบนโยบายและกระบวนการโกงกันอย่างไร