"ชูวิทย์" แกว่งปากหาเสี้ยน เหน็บ "พุทธะอิสระ" เอาผ้าเหลืองบังหน้า แถมแนะให้ลาสิกขาหากอยากเล่นการเมือง ด้าน "หลวงปู่ฯ" โต้กลับเจ็บ รู้ทันหาเรื่องทะเลาะ กปปส.เพียงแค่อยากออกสื่อรายวัน หวังผลเลือกตั้งสมัยหน้า ซัดไม่มีค่าพอมาวิจารณ์มวลมหาประชาชนเพราะไม่เคยทำอะไรให้บ้านเมืองเลย ไล่ให้กลับไปนั่งเฝ้าซ่อง
วันนี้ (19 พ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษย์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวเรื่อง "ผ้าเหลืองบังหน้า" ใจความว่า ครั้งหนึ่ง เคยมีพระรูปหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป" พระรูปนั้นมีชื่อว่า "กิตติวุฑโฒภิกขุ" เหตุการณ์ตอนนั้นคล้ายๆกับตอนนี้ คนไทยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ไล่เข่นฆ่ากันเอง
“พระพุทธอิสระ" ออกธุดงค์ป่าคอนกรีตมากกว่าอยู่วัด เป็นแกนนำสำคัญของม็อบ กปปส. ที่สร้างสารพัดปัญหาให้กับประเทศ อ้างว่าตัวเองเป็น "พระฮีโร่" ออกมาช่วยเหลือประชาชนให้พ้นภัยจากเงื้อมมือนักการเมืองสารเลว แต่ใช้วิธีการปิดถนน ขัดขวางการเลือกตั้ง ปิดล้อมสถานที่ราชการ ซ่องสุมการ์ดอันธพาล ใช้กำลังรุมทำร้ายแม้แต่คนบริสุทธิ์ที่อยากกลับบ้านไปหาครอบครัว
นี่ไม่ใช่ "กิจของสงฆ์" ที่จะอวดอุตริให้ใครมาเชื่อเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง ชาวพุทธนับถือพระสงฆ์ที่ห่มผ้าเหลือง เนื่องจากเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยมีพระสงฆ์ที่ไหนมาบีบบังคับ ข่มขู่ ซ้ำยังอวยตัวว่าเป็นคนดี ไม่เคยโกงกิน
สันดานพวกนี้นักการเมืองชอบใช้ ไม่เคยเห็นพระรูปใดจะอวดอ้างสรรพคุณแบบนี้
ที่ผ่านมาเราได้เห็นพระ "หลงผิด" มามาก ทั้งยันตระ ภาวนาพุทโธ เณรคำ และอีกหลายรูปที่มีข่าวฉาวโฉ่เรื่องสีกา แต่ชาวพุทธไม่เคยเหมารวมว่าพระสงฆ์จะเป็นเหมือนกันหมด เราสามารถแยกแยะผิด ชอบ ชั่ว ดี ได้
การเมืองเป็นเรื่องของความเชื่อทางโลก จึงไม่ใช่ธุระกงการของพระที่จะออกหน้าถือ ว. สั่งการ
หากครั่นเนื้อครั่นตัวอยากเล่นการเมืองนัก ลาสิกขาเสียเถิด ถอดจีวรออกแล้วจะรู้ว่า ชีวิตที่ "ไม่เกาะชายผ้าเหลือง" มันไม่ใช่เรื่องง่าย
"พระพุทธะอิสระ" โต้กลบ "ชูวิทย์"
หลังจากนั้น พระพุทธะอิสระ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อตอบโต้กลับ ว่า “ชูวิทย์ เอ๋ย ชูวิทย์”
คุณไม่ต้องมาห่วงใยฉันหรอก พระสงฆ์ในพุทธศาสนาดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยอาศัยศรัทธาของชาวบ้าน หากพระสงฆ์รูปใดชั่วช้า เลวทราม ไร้สาระ ใครที่ไหนจะศรัทธา ให้ข้าวให้น้ำกิน เพราะเช่นนั้น หากฉันชั่วช้าเลวทรามอย่างที่คุณว่า วันนี้ฉันคงอดตายไปนานแล้ว
อีกทั้งคุณก็ไม่เคยมาให้ข้าวให้น้ำฉันกิน แล้วคุณจะมาเดือดร้อนอะไรกับฉันด้วย (นี่พูดภาษาผู้ดีแล้วนะ หากจะพูดภาษาแมงดาปีกทอง ก็ต้องบอกว่า "แล้วมึงมาเสือกอะไรกับกูด้วย") หากคุณคิดว่าคุณเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ คุณก็ควรจะรู้ว่าพระพุทธเจ้ามิได้บังคับใครให้บูชา ให้ศรัทธา คุณก็อยู่ของคุณ ฉันก็อยู่ในส่วนของฉัน ต่างคนต่างอยู่ คุณก็มิได้เคยมีบุญคุณกับฉัน ฉันก็มิได้ทำคุณแก่คุณ แล้วคุณจะมาสนใจอะไรกับฉัน ที่คุณไล่ทุบตีลูกเมีย จนต้องเดือดร้อนยายชีแถวอยุธยา ฉันก็ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์คุณเลย ซ้ำยังรู้สึกสงสาร เห็นใจที่คุณโดนตำรวจอุ้มไปกระทืบ แล้วใส่รถไปถีบทิ้งข้างทางเสียด้วยซ้ำไป
หากคุณอยากดัง หาเสียง อยากมีบทบาทในสื่อรายวัน เพื่อให้คนรู้จัก จะได้มีผลเลือกตั้งในสมัยหน้า ก็อย่ามาทะเลาะกับพระเลย สังคมไทยเขารับไม่ได้หรอก เอาเวลาที่มีไปบริหารอาบอบนวด และโรงแรมแมงดาของคุณดีกว่าไหม หากจะใช้ความอย่างหนา หน้าด้าน ด้วยการมาทะเลาะกับพระ และประชาชนผู้เสียสละ ฉันว่าคุณไม่มีค่าพอหรอก เพราะคุณไม่เคยให้อะไรกับบ้านเมืองนี้ เท่ากับพวกเราที่ให้ พวกเราให้ได้แม้เลือดเนื้อและชีวิต คุณให้ได้ก็แค่ฟองน้ำลาย ที่พูดพ่นออกไปทำให้ตัวคุณดูดี และเหยียบหัวคนอื่น เพื่อเรียกร้องความสนใจ และให้ได้เสนอหน้าออกสื่อ ดูอย่างกรณีไปเดินร่วมขบวนกับมวลชน กปปส. เพื่อให้ได้ภาพ แต่ขาดความจริงใจ หน้าไหว้หลังหลอก พอโดนจับได้ มวลชนหมั่นไส้ เลยโดนรุมประชาทัณฑ์ ฉันรู้เข้า ยังโทรไปบอกแกนนำให้ห้ามมวลชน หากรู้ว่าคุณปาก “ม..” อย่างนี้ น่าจะปล่อยให้คลานกลับบ้านเสียก็ดีแหละ
เอาเป็นว่าอย่ามาตีสองหน้าหาเสียงเลย คุณเองก็ไม่ได้สะอาดผุดผ่องมาจากไหน ก่อนจะว่าใคร ควรรู้ว่าตัวเองทำชั่วอะไรมา หากคุณรู้ว่าฉัน ชั่ว เลว ไม่ดี เห็นเป็นขี้ ก็อย่ามาเอาฉัน และ กปปส. หาเสียงให้แก่ตัวเองเลย ไปนั่งเฝ้าซ่องของคุณเถิด "อย่าเห็นผิดคนอื่นเท่าภูเขา แต่ผิดของสูเจ้าเท่าเส้นขน" เช่นนี้ดูมันทุเรศ นี่แหละ สันดานนักการเมืองไทยหล่ะ
หากอยากหาเสียง ก็ลองทำดีให้ฉันดู อย่าเอาแต่พูดดี แสดงดี แต่จิตใจปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอก ชาวบ้านเขาไม่ได้กินหญ้านะคุณ เขารู้จัก ว่าไอ้สิ่งที่คุณทำน่ะ มันเสแสร้งหรือจริงใจ ก็ขนาดคนคุ้นเคย อยู่พรรคเดียวกัน คุณยังหักหลังได้เลย แล้วยังมีหน้ามาอาสารับใช้ประชาชน สันดานคนคุมซ่องเก่าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ
คุณเล่นการเมืองเพื่อเอาอำนาจมาปกป้องซ่องตัวเองตั้งหากเล่า อยากรู้ว่าจริงหรือไม่ก็ลองไปถามคุณบรรหาร ศิลปอาชา ดูสิ
พุทธะอิสระ
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗