“ส.ว.คำนูณ” โพสต์เฟซบุ๊ก แจงวุฒิฯ ตัดสินใจยังไม่ตั้งนายกฯ หลังชั่งน้ำหนักความเสียหายของบ้านเมือง เผยแม้ทำได้ แต่หวั่นกระทบสถาบัน เหตุยังไม่เข้าเงื่อนไขโดยสมบูรณ์ คือ รมต.รักษาการ ยอมลาออก หรือการเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน ย้ำวุฒิสภายังเดินหน้าทำงาน พร้อมตัดสินใจอีกครั้ง หากสถานการณ์เปลี่ยน
วันนี้ (17 พ.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. สรรหา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “คำนูณ สิทธิสมาน” ในหัวข้อ “การตัดสินใจในฐานะสมาชิกวุฒิสภา” มีใจความสรุปได้ว่า กรณีการเรียกร้องให้วุฒิสภาดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยเร็ว แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับวินิจฉัยว่าจะต้องกระทำอย่างไรต่อไป แต่ก็เป็นที่ปรากฏชัดเจนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคสองว่าจะต้องมีการดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที โดยให้ดำเนินการตามมาตรา 172 โดยอนุโลม
แต่ปัญหาก็คือขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ที่จะดำเนินกระบวนการตามมาตรา 172 และสถานการณ์ล่าสุด ณ วันนี้ แนวโน้มที่จะมีสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วยังไม่เห็น เพราะยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะตราขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะ กกต.ยังคงมีความเห็นทางกฎหมายแตกต่างกับรัฐบาลใน 2 ประเด็นสำคัญ
และโดยความเป็นจริงของสถานการณ์การเมือง หากแม้ผ่านอุปสรรค 2 ประการนี้จนกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ได้ ก็หาได้มีหลักประกันว่าจะสามารถดำเนินกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปจนสำเร็จทุกขั้นตอนจนสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อดำเนินการให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 172 ได้
หนทางที่จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปจึงแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ถึงกับจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าไร และคุ้มกับความเสียหายของประเทศชาติทุกด้านที่เกิดขึ้นทุกวันหรือไม่
สถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าทำให้วุฒิสภาไม่อาจนิ่งดูดายได้ จึงต้องเปิดประชุมเพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยมีกระบวนการรับฟังความเห็นและขัอเสนอแนะจากทุกฝ่ายอย่างกว้างขวาง หนึ่งในข้อเสนอคือขอให้วุฒิสภาดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว โดยอาศัยความในรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 122 และมาตราอื่นๆ วุฒิสภาซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยและเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรเดียวที่เหลืออยู่ย่อมสามารถเข้ามาดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ ซึ่งเป็นวิธีการภายในกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญรองรับ และไม่ตัองตามพระราชกระแสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549
แต่แน่นอนว่าลักษณะพิเศษของสถานการณ์ปัจจุบันมี “ข้อย้อนแย้ง” ที่มีน้ำหนักต่อการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน ประเด็นย้อนแย้งที่นำมาใคร่ครวญสำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงข้อกฎหมาย หากแต่เป็นความเป็นจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุดที่ว่าหากวุฒิสภาดำเนินการให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองประกอบมาตรา 172 กระบวนการนี้ไม่ได้จบอยู่ที่วุฒิสภา หากแต่อยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์
ถึงแม้จะไม่ใช่การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญรองรับและไม่ต้องตามพระราชกระแส แต่ในท่ามกลางความขัดแย้งที่มีประชาชนแตกแยกทางความคิดเป็น 2 ขั้วใหญ่ โดยขั้วหนึ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวต่อการกระทำหน้าที่ของวุฒิสภา การนำรายชื่อผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งในขณะที่เงื่อนไขยังไม่สมบูรณ์พรัอม คือยังไม่มีการเปิดทางยินยอมพรัอมใจลาออกจากรัฐมนตรีทั้ง 25 คนที่ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 181 และ/หรือการเลือกตั้งทั่วไปยังคงอยู่ในขั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ จะเป็นการสร้างความลำบากพระทัยอย่างยิ่งต่อองค์พระประมุขที่จะต้องทรงตัดสิน
กล่าวโดยสรุป แม้โดยหลักการแล้วจะเห็นว่า วุฒิสภาสามารถดำเนินการให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองได้ โดยอาศัยช่องทางตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 122 และมาตราอื่นๆ ก็ตาม แต่คำถามสำคัญคือจะกระทำได้ทันทีหรือไม่ ตัองเลือกระหว่าง 2 คำตอบ คำตอบที่หนึ่ง - ตัองดำเนินการโดยทันที ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้ ตัองตัดสินใจวันนี้ ไม่อาจรอไปเรื่อยๆ อย่างไร้ความหวัง
คำตอบที่สอง - ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์ ด้วยเหตุผลที่จะไม่อาจยอมให้เกิดเป็นปัจจัยสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่นัอย แม้บ้านเมืองอาจจะเกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าจะเกิดเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์ แต่เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้ว ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่น้อยในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ชาติบ้านเมืองในอนาคตอันใกล้มากกว่ามากนัก เงื่อนไขสถานการณ์ที่สมบูรณ์คือ เงื่อนไขที่หนึ่ง - มีการเปิดทางจาก 24 รัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อตามมาตรา 181 ยินยอมพรัอมใจลาออก เงื่อนไขที่สอง - หนทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปเป็นไปไม่ได้โดยสมบูรณ์
การตัดสินใจของสมาชิกวุฒิสภาไม่ใช่เรื่องของความกล้าหาญ หรือความขลาดเขลา ไม่ใช่เรื่องของความรับผิดชอบ หรือไม่รับผิดชอบ หากเป็นเรื่องของการตัดสินใจชั่งน้ำหนักความเสียหายของบ้านเมือง เมื่อได้ไตร่ตรอง และปรึกษาหารือรอบด้านแล้ว เห็นว่าคำตอบใดเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่ต้องกระทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ก็ต้องเลือกคำตอบนั้น และต้องเดินหน้าไป โดยอาศัยความสุจริตเป็นที่ตั้ง
หลังการตัดสินใจของวุฒิสภาเมื่อวานนี้ วุฒิสภายังคงเดินหน้าทำงานต่อไป เมื่อเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์และ/หรือมีปัจจัยแปรเปลี่ยนมีเงื่อนไขสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้น วุฒิสภาต้องตัดสินใจอีกครั้ง
รายละเอียดข้อความในเฟซบุ๊ก “คำนูณ สิทธิสมาน”
การตัดสินใจในฐานะสมาชิกวุฒิสภา
ทำไมจึงมีข้อเรียกร้องให้วุฒิสภาดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยเร็ว ?
ก็เพราะประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจจำกัดมาตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2556 ไม่อาจแก้ปัญหาของประเทศชาติได้
และตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อประเทศไทยไร้นายกรัฐมนตรีอันเนื่องมาจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 6/2557 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ดังนี้
1. ให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 182 (7) เพราะกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 และไม่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อได้อีก
2. ให้ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีที่อยู่ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 และไม่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อได้อีกเช่นกัน
3. คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันทั้งคณะจึงพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 180(1) แต่เฉพาะรัฐมนตรีที่ไม่ได้อยู่ร่วมในการประชุมเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 คงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 181
แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับวินิจฉัยว่าจะต้องกระทำอย่างไรต่อไป แต่ก็เป็นที่ปรากฎชัดเจนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคสองว่าจะต้องมีการดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที โดยให้ดำเนินการตามมาตรา 172 โดยอนุโลม
“ในกรณีที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 182(1) (2) (3) (4) (5) (7) หรือ (8) ให้ดำเนินการตามมาตรา 172 และมาตรา 173 โดยอนุโลม” (มาตรา 180 วรรคสอง)
“ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกตามมาตรา 127...” (มาตรา 172 วรรคแรก)
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคสองนี้ตราไว้เพื่อแก้ปัญหากรณีที่คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเพราะเหตุที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเพราะเหตุต่างๆ ตามมาตรา 182 เท่านั้น
ไม่ได้รวมเหตุคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเพราะเหตุยุบสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรครบอายุ
เพราะแม้ในมาตราต่อไปคือมาตรา 181 จะบัญญัติรองรับไว้ในทุกกรณีที่คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็จริง
แต่การที่คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุที่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 จะมีผลที่แตกต่างออกไป
เพราะคณะรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะไม่มีนายกรัฐมนตรี
การมีแต่รัฐมนตรีที่ขาดนายกรัฐมนตรีย่อมจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้นมาตรา 180 วรรคสองจึงบัญญัติทางออกของปัญหาไว้ให้ดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายใน 30 วันนับแต่เกิดเหตุคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ปี 2476 จนถึงล่าสุดเมื่อวันทึ่ 7 พฤษภาคม 2557 มีเหตุการณ์นายกรัฐมนตรีลาออก คณะรัฐมนตรีทั้งคณะลาออก หรือความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง จำนวนทั้งสิ้นก่อนหน้านี้ 11 ครั้ง และทุกครั้งมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่โดยเร็ว เพราะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญในขณะนั้น
เหตุการณ์ 2 ครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2551 นี่เอง
แต่ปัญหาก็คือขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ที่จะดำเนินกระบวนการตามมาตรา 172
และสถานการณ์ล่าสุด ณ วันนี้ แนวโน้มที่จะมีสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วยังไม่เห็น เพราะยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะตราขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะ กกต. ยังคงมีความเห็นทางกฎหมายแตกต่างกับรัฐบาลใน 2 ประเด็นสำคัญ
และโดยความเป็นจริงของสถานการณ์การเมือง หากแม้นผ่านอุปสรรค 2 ประการนี้จนกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ได้ ก็หาได้มีหลักประกันว่าจะสามารถดำเนินกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปจนสำเร็จทุกขั้นตอนจนสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อดำเนินการให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 172 ได้
หนทางที่จะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปจึงแทบเป็นไปไม่ได้
แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ถึงกับจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าไร
และคุ้มกับความเสียหายของประเทศชาติทุกด้านที่เกิดขึ้นทุกวันหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า “แทบเป็นไปได้” และ “เป็นไปไม่ได้” มีความสำคัญอย่างยิ่ง และอาจสำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจ
เพราะโดยโครงสร้างของระบอบการเมืองและโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ถือการเลือกตั้งเป็นหลัก ถือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นหลัก ถือสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาหลัก
และต้องไม่ลืมว่า ณ วันนี้ประเทศไทยยังคงอยู่ในบังคับของพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 มาตรา 3
“ให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรและเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่”
แต่สถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าทำให้วุฒิสภาไม่อาจนิ่งดูดายได้ จึงต้องเปิดประชุมเพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยมีกระบวนการรับฟังความเห็นและขัอเสนอแนะจากทุกฝ่ายอย่างกว้างขวาง
หนึ่งในข้อเสนอคือขอให้วุฒิสภาดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว
โดยอาศัยความในรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 122 และมาตราอื่น ๆ วุฒิสภาซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยและเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรเดียวที่เหลืออยู่ย่อมสามารถเข้ามาดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้
“ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (มาตรา 7)
คำว่า “กรณีใด” ในมาตรา 7 ปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันคือการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองประกอบมาตรา 172
แม้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังมีวุฒิสภา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภาถือเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยด้วยเช่นกัน
“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” (มาตรา 3)
“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์” (มาตรา 122)
เป็นวิธีการภายในกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ
และไม่ใช่การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญรองรับ และไม่ตัองตามพระราชกระแสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549
หากแต่เป็นการกระทำตามหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นการกระทำตามหน้าที่พื้นฐานของคนไทยทุกคนที่ไม่อาจนิ่งดูดายให้ประเทศค่อยๆ วิบัติลงไปต่อหน้าต่อตา
แต่แน่นอนว่าลักษณะพิเศษของสถานการณ์ปัจจุบันมี “ข้อย้อนแย้ง” ที่มีน้ำหนักต่อการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน
ประเด็นย้อนแย้งที่นำมาใคร่ครวญสำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงข้อกฎหมาย หากแต่เป็นความเป็นจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุดที่ว่าหากวุฒิสภาดำเนินการให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองประกอบมาตรา 172 กระบวนการนี้ไม่ได้จบอยู่ที่วุฒิสภา หากแต่อยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์
ถึงแม้จะไม่ใช่การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญรองรับและไม่ต้องตามพระราชกระแส แต่ในท่ามกลางความขัดแย้งที่มีประชาชนแตกแยกทางความคิดเป็น 2 ขั้วใหญ่ โดยขั้วหนึ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวต่อการกระทำหน้าที่ของวุฒิสภา การนำรายชื่อผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งในขณะที่เงื่อนไขยังไม่สมบูรณ์พรัอม คือยังไม่มีการเปิดทางยินยอมพรัอมใจลาออกจากรัฐมนตรีทั้ง 25 คนที่ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 181 และ/หรือการเลือกตั้งทั่วไปยังคงอยู่ในขั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ จะเป็นการสร้างความลำบากพระทัยอย่างยิ่งต่อองค์พระประมุขที่จะต้องทรงตัดสิน
สมาชิกวุฒิสภาต้องตัดสินใจ
กล่าวโดยสรุป แม้โดยหลักการแล้วจะเห็นว่า วุฒิสภาสามารถดำเนินการให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองได้ โดยอาศัยช่องทางตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 122 และมาตราอื่น ๆ ก็ตาม
แต่คำถามสำคัญคือจะกระทำได้ทันทีหรือไม่
ตัองเลือกระหว่าง 2 คำตอบ
คำตอบที่หนึ่ง - ตัองดำเนินการโดยทันที ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้ ตัองตัดสินใจวันนี้ ไม่อาจรอไปเรื่อยๆ อย่างไร้ความหวัง
คำตอบที่สอง - ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์ ด้วยเหตุผลที่จะไม่อาจยอมให้เกิดเป็นปัจจัยสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่นัอย แม้บ้านเมืองอาจจะเกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าจะเกิดเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์ แต่เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้ว ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่น้อยในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ชาติบ้านเมืองในอนาคตอันใกล้มากกว่ามากนัก
เงื่อนไขสถานการณ์ที่สมบูรณ์คือ
เงื่อนไขที่หนึ่ง - มีการเปิดทางจาก 24 รัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อตามมาตรา 181 ยินยอมพรัอมใจลาออก
เงื่อนไขที่สอง - หนทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปเป็นไปไม่ได้โดยสมบูรณ์ อาจจะเป็นเพราะมีองค์กรที่น่าเชื่อถือและ/หรือมีอำนาจชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารองนายกรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 และ/หรือรัฐบาลงกับกกต.ไม่สามารถตกลงเนื้อหาของร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมฯ กันได้
การตัดสินใจของสมาชิกวุฒิสภาไม่ใช่เรื่องของความกล้าหาญ หรือความขลาดเขลา ไม่ใช่เรื่องของความรับผิดชอบ หรือไม่รับผิดชอบ
หากเป็นเรื่องของการตัดสินใจชั่งน้ำหนักความเสียหายของบ้านเมือง
เมื่อได้ไตร่ตรอง และปรึกษาหารือรอบด้านแล้ว เห็นว่าคำตอบใดเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่ต้องกระทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ก็ต้องเลือกคำตอบนั้น และต้องเดินหน้าไป โดยอาศัยความสุจริตเป็นที่ตั้ง
หลังการตัดสินใจของวุฒิสภาเมื่อวานนี้ วุฒิสภายังคงเดินหน้าทำงานต่อไป
เมื่อเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์และ/หรือมีปัจจัยแปรเปลี่ยนมีเงื่อนไขสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้น วุฒิสภาต้องตัดสินใจอีกครั้ง