“สภาทนายความ” ออกแถลงการณ์ระบุนายกฯ-ครม.หมดอำนาจบริหารไปแล้วหลังศาล รธน.วินิจฉัย ชี้ “วุฒิสภา” มีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งผู้มาดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญได้ จึงชอบที่จะนำมาตรา 7 มาวินิจฉัย แนะกราบบังคมทูลขอพระราชทานแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามประเพณี และแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่แทน ชี้สถาบันไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่ได้ทรงเข้ามาวินิจฉัยในข้อเท็จจริง แต่เป็นหน้าที่ของวุฒิฯ เพื่อเติมเต็มสุญญากาศ
วันนี้ (13 พ.ค.) นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ และกรรมการบริหารสภาทนายความ เปิดเผยว่า ทางสภาทนายความได้ออกแถลงการณ์ว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีทั้งคณะ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจนหมดอำนาจบริหารไปแล้ว รวมทั้งกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้มี พ.ร.ฎ.ยุบสภาไป เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 จึงปรากฏความจริงว่าในการใช้อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรได้ยุติลงแล้วโดยสิ้นเชิง วุฒิสภาจึงมีหน้าที่อย่างสำคัญในการสร้างสมดุลของอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความมั่นคงของชาติอย่างต่อเนื่องตลอดไป โดยอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาในมาตรา 132 (2) ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานวุฒิสภาหรือรองประธานวุฒิสภาผู้ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาซึ่งเป็นกฎหมายอนุบัญญัติรองจากรัฐธรรมนูญ คือ การพิจารณาแต่งตั้งผู้มาดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญได้ ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งอื่นก็เป็นตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงชอบที่จะนำมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญมาวินิจฉัยกรณีนี้ได้ เพราะทางนิติศาสตร์นั้นการใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายต้องให้มีผลบังคับตามหลักนิติธรรมและหลักเกณฑ์สากล จึงไม่มีกรณีใดที่จะให้ประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะไร้ฝ่ายบริหารและสภาผู้แทนราษฎร
ดังนั้น ประธานวุฒิสภา หรือรองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา จึงต้องปฏิบัติดังนี้ 1. ในขณะที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและไม่มีนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภาหรือรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ตามมาตรา 132 (2) ประกอบกับมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ต้องกราบบังคมทูลขอพระราชทานแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎร 2. รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาตามข้อบังคับ ข้อ 11 ของข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ต้องรีบหารือประธานองคมนตรีเพื่อขอให้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและขอพระราชทานให้เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการประกาศพระราชกฤษฎีกาเพื่อคัดสรรและแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎรในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติก่อนจะมีการเลือกตั้ง
3. สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองตลอดเวลา เพราะกลไกของการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่จะเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและประเพณีการปกครองตามมาตรา 7 ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่ได้ทรงเข้ามาวินิจฉัยในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใด แต่เป็นหน้าที่ของประธานวุฒิสภา หรือรองประธานวุฒิสภาในขณะนี้ ที่ต้องกระทำเพื่อเติมเต็มสุญญากาศของการไม่มีนายกรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎร ประกอบกับภารกิจที่ต้องสร้างความมั่นคงของชาติและความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง และการลงทุนของภาคธุรกิจทั้งประเทศ รวมทั้งการขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงการได้มาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในโอกาสต่อไปให้สอดคล้องกับวิธีการเลือกตั้ง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาล