“องอาจ” ระบุ “ยิ่งลักษณ์” ประกาศวางมือทางการเมืองแค่กลเกม เหตุรู้ตัวไม่รอดจากคดีที่ก่อขึ้น แนะยอมรับความจริงปัญหาเกิดจากรัฐบาลไม่ยึดกติกา ใช้อำนาจโดยมิชอบช่วยเหลือ “นช.แม้ว” ให้รอดพ้นคดี ยันแม้เลือกตั้งได้แต่ปัญหาไม่จบ โต้ พท.กล่าวหา “อภิสิทธิ์” ขี้ขลาด ย้อนพวกตาขาวคือคนหนีคดีไม่รับคำตัดสินศาล แนะ “สุรพงษ์” เก็บอาการดี๊ด๊ารอนั่งรักษาการนายกฯ ระวังหากปาก “ปู” รอดจะไม่มีพรรคให้ยืน พร้อมตอกรัฐบาลตัวทำของแพง อย่าโยนผิดให้คนอื่น แนะ “ยิ่งลักษณ์” เลิกยื้อเวลาเพิ่มพยานจำนำข้าว เหตุลายเซ็นประธาน กนข.มัด ดิ้นไม่หยุด
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประกาศพร้อมวางมือทางการเมือง โดยไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่ขอให้สังคมยึดกติกาเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ว่า เป็นการประกาศที่สายเกินไป คงเพราะเริ่มรู้ว่าไม่สามารถหลุดคดีความของตัวเองที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงวางแผนกลเกมการเมือง เพื่อให้คณะของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังรักษาอำนาจของตัวเองต่อไปได้ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งการประกาศวางมือดังกล่าวไม่ใช่เป็นการแสดงความรับผิดชอบตามวิสัยของผู้นำที่ดีที่ควรทำ
ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรออกมายอมรับความจริงว่าต้นตอปัญหาเกิดจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลไม่ยึดกติกา พยายามใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ปล่อยให้ทุจริต พยายามช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้รอดพ้นจากความผิดต่างๆ โดยใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ
ส่วนที่นายโภคิน พลกุล กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุหากไม่มีการเลือกตั้งโดยเร็วจะทำให้ประเทศเกิดกลียุคนั้น นายองอาจกล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าแม้จะให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วก็มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาเช่นกัน เพราะจะมีมวลชนที่ต้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งมาคัดค้านการเลือกตั้งเหมือนกับวันที่ 2 ก.พ. ถ้าจะไม่ให้เกิดกลียุคต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติบ้านเมือง
ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขี้ขลาด เพราะไม่เข้าร่วมการหารือระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพรรคการเมืองว่า คนที่ขี้ขลาดคือคนที่ไม่กล้ามารับโทษจากศาลไทย และคนที่ไม่คิดจะยอมรับโทษทั้งที่ยังไม่ทราบถึงผลการตัดสินคดีว่าถูกศาลตัดสินลงโทษหรือไม่
รวมถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.แรงงาน ในฐานะผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ก็แสดงความขี้ขลาดด้วยการเสนอแนวคิดในการขอพระบรมราชวินิจฉัยหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ทั้งที่ยังไม่ทราบผลการวินิจฉัย และไม่ทราบว่า ร.ต.อ.เฉลิมทราบผลการวินิจฉัยได้อย่างไร แสดงว่ามีการแทรกแซงองค์กรอิสระหรือไม่ ถือเป็นการทำเกินหน้าที่ของ ศอ.รส.หรือไม่ เพราะตราบใดที่คำวินิจฉัยไม่ออกมา ทุกฝ่ายต้องน้อมรับ เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร
“การที่จะเสนอขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้น อยากถามว่าจะขอตามรัฐธรรมนูญมาตราใด ดังนั้นขอเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว และขอให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ เก็บอาการไว้ด้วย เพราะหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกชี้มูลเพียงคนเดียว นายสุรพงษ์ก็มีโอกาสได้ขึ้นมารักษาการนายกฯ แต่หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ผิด ระวังนายสุรพงษ์จะไม่มีพรรคให้ยืน
นายจุฤทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุปัญหาการเมืองนำสู่ความสูญเสียด้านเศรษฐกิจมโหฬารว่า ปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้คือปัญหาสินค้าราคาแพง ที่เกิดตั้งแต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศ จนได้รับฉายาว่า “แพงทั้งแผ่นดิน” เพราะรัฐบาลบริหารงานแบบลดรายได้เพิ่มรายจ่ายให้คนทั้งประเทศ ดูได้จากราคาหมูเนื้อแดง สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กิโลกรัมละ 114 บาท ขณะที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขึ้นไปที่กิโลกรัมละ 150 บาท เนื้อโค รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ราคากิโลกรัมละ 131 บาท รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขึ้นไปที่ 190-200 บาทต่อกิโลกรัม ราคากุ้ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ราคา 172 บาทต่อกิโลกรัม รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ราคากิโลกรัมละ 270-290 บาท ไข่เป็ด รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อยู่ที่ฟองละ 4.23 บาท รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฟองละ 4.70-4.80 บาท มะนาว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ลูกละ 1.78 บาท ขณะที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ราคาขึ้นไปที่ 5.06 บาท และส้ม เขียวหวาน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ราคากิโลกรัมละ 67.27 บาท รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ กิโลกรัมละ 104.64 บาท
นายจุฤทธิ์กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเมือง แต่เกิดจากการใช้คนไม่ตรงกับงาน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำหรือไม่ อยากถามว่านายณัฐวุฒิเคยไปเดินตลาดบ้างหรือไม่ ถ้าจะไปขอให้รีบไปวันนี้ เพราะไปเดินตลาดเดือนหน้าจะเป็นฤดูที่ทุเรียนออกสู่ท้องตลาดแล้ว ถ้าไปตอนนั้นเกรงจะยิ่งกลายเป็นปัญหามากขึ้น
ส่วนที่ระบุว่าการเลือกตั้งจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้นั้น อยากให้พรรคเพื่อไทยแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง และสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างไร เพราะขณะนี้ชาวนา ขายข้าวเปลือกได้กิโลกรัมละ 5 บาท แต่ชาวบ้านต้องซื้อข้าวสารหอมมะลิกินในราคากิโลกรัมละ 50 บาท ทำให้ต้องกินข้าวแกงจานละ 40 บาท ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้เศรษฐกิจพังจนโงหัวไม่ขึ้น โดยเฉพาะการทำลายแชมป์การส่งออกข้าวไทย ที่ขณะนี้ตกไปอยู่ที่อันดับ 3 แล้ว
ส่วน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอเพิ่มพยานฝ่ายปฏิบัติในการให้ปากคำในคดีทุจริตจำนำข้าวต่อ ป.ป.ช.ว่า ไม่ว่าจะเพิ่มพยานจำนวนมากเท่าใด แต่พยานและหลักฐานสำคัญคือลายเซ็นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ลงนามในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กนข.) ตั้งแต่ปี 54 จนถึงปัจจุบัน ทั้งการลงนามในการระบายข้าว การจัดทำข้าวถุง ถ้า น.ส.ยังลักษณ์ ไปทบทวนพฤติกรรมตั้งแต่ปลายปี 2554 ก็ควรจะทราบว่าใครเป็นผู้หอบแฟ้มมาให้เซ็นที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นคนใกล้ชิด เป็นผู้บังคับบัญชารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับจำนำข้าวหรือไม่
ส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระบุว่ามีเงินอีกเพียง 3 พันล้านบาท ที่จะจ่ายให้กับชาวนาที่มีใบประทวนโครงการจำนำข้าว ทั้งที่ความจริงรัฐบาลเป็นหนี้ชาวนากลุ่มนี้จำนวนถึง 9 หมื่นล้านบาท จึงอยากถามว่ารัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย เพราะล่าสุดไทยแพ้การประมูลขายข้าวมาแล้ว และอยากถามว่าการเลือกตั้งวันที่ 20 ก.ค. จะสามารถตอบโจทย์ในการหาเงินมาจ่ายหนี้ชาวนาได้อย่างไร