ผ่าประเด็นร้อน
คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ที่เพิ่งออกมายอมรับผลจะออกมาไม่ดีนักสำหรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อ รักษาการนายกรัฐมนตรีในกรณีการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคง (เลขาฯ สมช.) โดยมิชอบ และกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะชี้มูลความผิดในคดีทุจริตรับจำนำข้าว ซึ่งมีการระบุออกมาแล้วว่าไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้
ความหมายก็คือคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็เหมือนจะรู้ชะตากรรมกันล่วงหน้าแล้วว่า “โดนแน่” เพราะหากพิจารณากันตามความเป็นไปได้เท่าที่เห็นมันก็ผิดกันเห็นๆ อยู่แล้ว เพราะทั้งกรณีโครงการรับจำนำข้าวที่โกงกันทุกเมล็ด ขาดทุนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนล้าน ซึ่งเป็นเงินของประชาชนทั้งประเทศ โกงกันจนไม่มีเงินหมุนมาจ่ายหนี้ค่าข้าวชาวนา มานานเกินครึ่งปีแล้ว ทำให้ชาวนาต้องฆ่าตัวตายเป็นใบไม้ร่วง
ส่วนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินในคดีที่ถูกร้องเรื่องการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาตโดยมิชอบ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันก็ผิดอยู่แล้ว เพราะเป็นการย้ายเพื่อต้องการให้ญาติพี่น้องคนในครอบครัวตัวเอง คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาศาลปกครองสูงสุด ได้ชี้ความผิดนำทางมาแล้วจนต้องคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติกลับคืนให้กับ ถวิล เปลี่ยนศรี ไปแล้ว แม้ว่าจะพยายามยื้อซื้อเวลามานานแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นหากไม่ผิดสิแปลก
อย่างไรก็ดี กรณีคำตัดสินทั้งของศาลรัฐธรรมนูญ และการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้นมีผลต่อชะตากรรมทางการเมืองในอนาคตของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นคือ หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าเธอมีความผิดนั่นก็หมายถึงว่าต้องพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นไปพร้อมกันทันที นี่คือความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะต้องตกจากอำนาจ ซึ่งสำหรับคนในครอบครัวนี้ถือว่าเสียหายป่นปี้
ขณะเดียวกัน ในกรณีของ ป.ป.ช.ก็เช่นเดียวกัน ถ้าโดนชี้มูลความผิดนั่นก็หมายความว่า นอกจากยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในทันทีแล้ว ยังต้องเข้าใกล้คุกไปทุกขณะ เพราะเป็นคดีอาญาตามขั้นตอนเมื่อไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การพิจารณาคดีก็ต้องดำเนินไปแบบไม่นานนัก และมีโอกาสสูงยิ่งที่เธอจะต้องติดคุก เพราะหากถูกชี้มูลความผิด ตามขั้นตอนมันก็เดินไปในแนวทางเดียวกัน โดยในคดีของ ป.ป.ช.ล่าสุดมีการเปิดเผยระบุออกมาชัดเจนแล้วว่าจะมีการชี้มูลในราวต้นเดือนพฤษภาคม
เรียกได้ว่าลุ้นระทึกกันเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่า ฝ่ายทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะรับรู้ถึงชะตากรรมแบบนี้กันมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้ยอมรับออกมาในทำนองว่าไม่น่าจะรอด
ดังนั้น เวลานี้สิ่งที่เราได้เห็นก็คือได้เห็นอาการดิ้นรนทุกทางของ ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่เป็นทุกอย่างของรัฐบาล เป็นคนกำกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทั้งการข่มขู่คุกคาม ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช.รวมไปถึงการดิสเครดิต ใช้มวลชนเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะสังคมยิ่งมองเห็นถึงความเห็นแก่ตัว การทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย กลายเป็นว่าคนที่ไม่เคารพกติกา ไม่เคารพศาลไม่เคารพองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็คือรัฐบาล และคนในระบอบทักษิณทั้งสิ้น กลายเป็นยิ่งข่มขู่ ยิ่งดิสเครดิตมากเท่าใด ผลลบยิ่งย้อนกลับมาหาตัวทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของคนพวกนี้มากขึ้น
ล่าสุดมาในแบบเดิมที่เคยใช้มาแล้วนั่นคือเสนอเงื่อนไขว่า ทักษิณ ชินวัตร จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อ้างว่าเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า อ้างถึงการเสียสละของตัวเอง แต่รับรองว่านั่นไม่ใช่นิสัยสันดานของทักษิณ และคนในครอบครัวนี้แน่นอน ความหมายที่ส่งสัญญาณดังกล่าวเป็นเพียงแค่การเสนอเงื่อนไขต่อรองเพื่อแลกกับการไม่ให้เอาผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และต้องการแชร์อำนาจเท่าที่เหลืออยู่ให้มากที่สุด แต่เชื่อเถอะนาทีนี้ไม่มีใครสนใจแล้วว่าพวกเขาจะวางมือการเมืองหรือไม่ เพราะสิ่งที่สังคมต้องการก็คือสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายให้ได้ นั่นคือใครผิดก็ต้องผิด จะทำดำให้เป็นขาวไม่ได้เป็นอันขาด ให้มันรู้ไปเสียทีบ้านเมืองจะฉิบหายเพราะมีการตัดสินความผิดกับคนชั่ว !!