ผ่าประเด็นร้อน
สังเกตหรือไม่ว่ายิ่งใกล้วันตัดสินชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคง (สมช.) โดยมิชอบ สังคมก็จะได้เห็นความเคลื่อนไหวของเครือข่าย ลิ่วล้อของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะมาในรูปแบบการให้สัมภาษณ์ผ่านทางรัฐมนตรี ผ่านทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ผ่านทางมวลชนคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลและครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร โดยมีเจตนาข่มขู่คุกคาม และทำลายเครดิตของศาลรัฐธรรมนูญหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
หากจับประเด็นหลักๆ ที่คนพวกนี้ยกขึ้นมาอ้างก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการพิพากษาความผิดนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายบริหารย่อมมีสิทธิ์ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือไม่ก็อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังก้าวล่วงเข้ามาแทรกแซงฝ่ายบริหาร ความหมายก็คือกล่าวหาว่า “ล้ำเส้น” นั่นแหละ นอกเหนือจากนี้ยังมีการข่มขู่คุกคาม ทั้งกล่าวหาว่าไม่มีความชอบธรรม สารพัด ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวหากพิจารณากันอย่างเข้าใจก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ฝ่ายทักษิณ ต้องทำทุกทางเพื่อดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ ให้ไม่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือทำไมถึงต้องหาทางทำลายศาลรัฐธรรมนูญ คำตอบก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ก็เพราะผลจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะส่งผลกระทบต่อสถานะของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็น “หุ่นเชิด” ในทางอำนาจและผลประโยชน์ หากศาลฯตัดสินชี้ขาดให้ ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพจากตำแหน่งนายกฯเมื่อไหร่ก็ลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันว่ามันจะหายนะขนาดไหน
สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร การที่ตกจากอำนาจ ไม่ได้กุมอำนาจรัฐถือว่า “เสียหาย” กับพวกเขา กับครอบครัวของพวกเขา และกับธุรกิจครอบครัวของพวกเขา เพราะ ทักษิณ เป็น “นักธุรกิจการเมือง” เป็นทุนสามานย์ ที่ใช้การลงทุนทางการเมืองเป็นใบเบิกทางไปสู่อำนาจ และสร้างนโยบายให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะในความเป็นจริงก็คือแบ็กกราวนด์ของเขาก่อนและหลังเข้าสู่อำนาจทางการเมืองก็เป็นนักธุรกิจสัมปทานผูกขาด ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเขาสามารถควบคุมอำนาจทางการเมืองในรัฐบาลได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว เขาจะสร้างความร่ำรวยได้มากมายเพียงใด ซึ่งความร่ำรวยผิดปกติเหล่านั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยอธิบายเอาไว้ในคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของ ทักษิณ จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่อธิบายถึงที่มาที่ไปได้อย่างละเอียดยิบ
ซึ่งนั่นคือความสำคัญของศาล โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังมีผลกระทบต่อชะตากรรมของครอบครัวทักษิณ หากมีการพิพากษาให้ ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพจากตำแหน่งนายกฯในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และคาดเดาได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่ายิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่ก็ยิ่งป่วน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องน่าระทึกใจประดังเข้ามาอีกนั่นคือในเวลาไล่เลี่ยกัน ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็กำลังจะชี้มูลความผิดเกี่ยวกับคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นจำเลย ซึ่งหากชี้มูลความผิดเมื่อไหร่ เธอก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที แม้ว่ากรณีนี้อาจตั้งรองนายกฯคนใดคนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่แทนก็ตาม แต่ที่ขนหัวลุกก็คือคดีนี้จะเป็นคดีอาญามีโอกาสติดคุกสูงเสียด้วย และที่สำคัญใช้เวลาในการพิจารณาคดีไม่นาน เพราะอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เหมือนกับที่พี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร โดนมาแล้วในคดีขายที่ดินรัชดาฯ
ทั้งสองกรณีถือว่าหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะสำหรับคนอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ด้อยสติปัญญา ไม่เคยทำอะไรเอง ไม่เคยคิดเอง มันจึงหนักกว่าคนอื่นอีกหลายเท่า
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ไม่นึกว่าคนพวกนี้จะทำทุกทางเพื่อคิดจะเอาตัวรอด แม้กระทั่งคิดดึงเอาพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นเครื่องมือให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจต่อไป ถือว่าเป็นสิ่งที่สังคมไทยรับไม่ได้และไม่ยอมให้อภัยคนพวกนี้อีกต่อไป
การออกแถลงการณ์ของ ศอ.รส. ซึ่งเป็นกลไกของรัฐบาลรักษาการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะเสนอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงวินิจฉัยถึงสถานะของรัฐบาล และสถานะนายกฯของยิ่งลักษณ์ หากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ถือว่าเป็นความเหิมเกริม จาบจ้วง กดดันพระองค์ท่านอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการดึงสถาบันฯมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง และที่สำคัญเป็นเจตนาที่บ่อนทำลายอย่างชัดแจ้งที่สุด อย่างที่ไม่อาจอภัยได้เลย
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งการเคลื่อนไหวแบบนี้ก็ย่อมมองออกทันทีเช่นเดียวกันว่า นี่คือเจตนาป่วน เพื่อหวังต่อรองครั้งสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าชะตากรรมข้างหน้าทั้งสองพี่น้องคือ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชะตาขาด อาจไม่มีแผ่นดินอยู่ หรือไม่ก็ต้องระเห็จเข้าคุก !!