ผ่าประเด็นร้อน
ฟันธงไว้ล่วงหน้าเกือบเต็มร้อยได้เลยว่า ในวันนี้ (31 มี.ค.) ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่มีทางไปชี้แจงข้อกล่าวหาในคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างแน่นอน รับรองว่าจะมาในรูปแบบมอบหมายให้ทนายความไปชี้แจงแทน หรือไม่ก็ใช้วิธีการชี้แจงผ่านทางเอกสาร
ยิ่งลักษณ์ ไม่ไปชี้แจงด้วยตัวเอง สาเหตุเป็นเพราะอะไร คำตอบไม่มีอะไรมากไปกว่า มันเสี่ยงเกินไป ที่ว่าเสี่ยงนั้นก็ไม่มีมากไปกว่า หากปรามาสด้วยระดับสติปัญญาก็ต้องบอกว่า “เธอด้อยเกินไป” ยิ่งพูดอาจยิ่งเข้าเนื้อ ต้องตอบข้อซักถาม เดี๋ยวตอบมั่วเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่การเหยียดหยามไม่ให้เกียรติ แต่เป็นการประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง เพราะที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เธอไม่เคยบริหารเอง ไม่เคยคิดเอง จะพูดก็มีคนเขียนบทให้ท่องจำ ถ้าคราวใดที่พูดนอกบท หรือปล่อยให้แสดงออกตามธรรมชาติ ครั้งนั้นก็เห็นอาการ “หลุดโลก” ให้ชาวบ้านได้ตลกขบขันทุกครั้ง
แม้แต่การโพสต์ลงเฟซบุ๊กก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าเธอเขียนข้อความด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าจะบอกว่าหากเธอซวย ถูกชี้มูลความผิดและเสี่ยงเดินเข้าคุกในวันหน้า ก็ล้วนแล้วมาจากคนอื่นที่ทำการแทน แต่เธอในฐานะที่เป็น “หุ่นเชิด” ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้เหมือนกัน
เพราะเธอคือหุ่นเชิดของพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร แต่ถึงอย่างไรมันก็มีความสุขในบทบาทที่ได้รับแบบนั้น ได้แต่งตัวเฉิดฉาย ได้เป็นจุดสนใจ มีคนพินอบพิเทาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรับรองว่าเมื่อครั้งที่ดูแลธุรกิจครอบครัวก่อนหน้านี้ จะไม่วันได้เจอเป็นอันขาด
วกมาที่คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่มีการคาดหมายว่าเธอจะไม่เดินทางไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ในวันนี้อย่างแน่นอน เพราะสังเกตจากอาการ “ป่วน” ที่หนักข้อขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะมาจากบรรดาลิ่วล้อมวลชนคนเสื้อแดง ที่มีการเคลื่อนไหวคุกคาม ป.ป.ช.หนักขึ้นทุกวัน โดยก่อนหน้านี้ก็มีเป้าหมายอยู่ที่ศาลต่างๆ
ล่าสุด ตัว ยิ่งลักษณ์ เองก็ออกมาดิสเครดิต ป.ป.ช.ผ่านทางเฟซบุ๊ก ว่าไม่ให้ความเป็นธรรม มีการรวบรัดในการพิจารณาคดี มีการตั้งข้อสังเกตว่า คดีของเธอไม่มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา แต่คดีของเธอมีการใช้กรรมการชุดใหญ่มาพิจารณา และใช้เวลาในการพิจารณาเพียงไม่กี่วัน ฟังดูเผินๆ ก็อาจคล้อยตาม แต่หากฟังจากคำชี้แจงของกรรมการ ป.ป.ช. วิชา มหาคุณ ที่ดูแลคดี ว่าไม่ใช่รวบรัดอย่างที่กล่าวหา เพราะมีการให้โอกาสมานานนับปีแล้ว และที่ต้องใช้คณะใหญ่ดูแล ก็เพราะมีการให้ความสำคัญ ไม่ตั้งคณะอนุกรรมการเหมือนหลายคดี
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันอย่างเข้าใจ จากอารมณ์ความรู้สึกของคนพวกนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะพวกเขาเป็นผู้ต้องหา ซึ่งก็เหมือนกับรายอื่นๆ ที่มีน้อยรายที่ยอมสารภาพความผิด ส่วนใหญ่จะมาประเภท “เขาหาว่า” กันทั้งนั้นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ต่างจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอ ที่ไม่เคยสำนึกในความผิดของตัวเอง มีแต่กล่าวหาคนอื่น และซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ คนพวกนี้ยังข่มขู่ทำร้ายศาล ผู้พิพากษา ซึ่งล่าสุดกำลังเบนเข็มมาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมไปถึงกรรมการบางคนที่คิดว่าไม่เป็นคุณกับพวกเขา อย่าง วิชา มหาคุณ ถึงขั้นบีบให้มีการเปลี่ยนตัวเลยก็มี
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวที่ควบคู่กันไป นั่นคือใช้มวลชนเสื้อแดงเข้ามาข่มขู่คุกคามอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีทั้งพยายามปิดกั้นทางเข้าออกสำนักงาน ป.ป.ช.ป้องกันไม่ให้มีการพิจารณาคดี และเหิมเกริมถึงขนาดใช้อาวุธสงครามยิงถล่มเป็นรายวัน เพื่อใหัเกิดความกลัว ไม่กล้าตัดสินเป็นลบ ข่มขู่กันสารพัด
อย่างไรก็ดี บรรยากาศในยามนี้มันเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม ชาวบ้านเขาเริ่มตาสว่างกันแล้ว พิสูจน์ได้จากการชุมนุมใหญ่ครั้งล่าสุดของมวลมหาประชาชนเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา ปริมาณก็ยังหนาแน่นมหาศาลเช่นเดิม ยังยืนหยัดขับไล่ระบอบทักษิณออกจากอำนาจ ชาวบ้านรู้เช่นเห็นชาติกันแล้ว ว่ากว่าสองปีที่ผ่านมามันล้มเหลวห่วยแตกอย่างไรบ้าง
ดังนั้น ยิ่งดิ้นรน ทำลายประชาชนมากเท่าใด มันก็ยิ่งส่งผลลบกับตัวเองจนหายนะเร็วขึ้น เพราะนั่นคือการสะท้อนให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัว พูดอย่างทำอย่างไม่เคยเคารพกติกาอย่างที่พล่ามอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเวลานี้สังคมเขารับรู้กันแล้วว่าพวกตัวป่วนทั้งหลายล้วนเป็นลิ่วล้อของรัฐบาล และยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
และถึงอย่างไรในที่สุดแล้วสังคมคงไม่ยอมให้พวกคนถ่อยอยู่เหนือบ้านเมืองแน่นอน!!