มีการคาดการณ์ตรงกันแล้วว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่ยอมรับคำตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นกรณีการชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ในคดีทุจริตรับจำนำข้าว และคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องเรื่องที่เธอใช้อำนาจมิชอบโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) โดยทั้งสองคดีมีการกำหนดวันเอาไว้คร่าวๆแล้วว่าน่าจะมีผลสรุปออกมาภายในเดือนเมษายน หรือในกรณีของศาลรัฐธรรมนูญอย่างช้าก็ไม่น่าเกินต้นเดือนพฤษภาคม
แน่นอนว่าอาการที่จะไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าวล้วนมาจากรู้ดีว่า “โดนแน่” นั่นคือรู้ว่าผิดแน่ แต่ความหมายก็คือ “ตัวเองรู้ดีว่าทำผิด” ผลจึงต้องออกมาแบบนั้น แต่อย่างไรก็ดีในทางการเมือง ในทางสาธารณะย่อมไม่อาจยอมรับแบบนั้นได้ และนี่คือคำตอบว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธคอเป็นเอ็น และบิดเบือนไปอีกทางหนึ่ง
เริ่มจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ขาดทุนมหาศาลสูญเสียเงินงบประมาณของชาวบ้านทั้งประเทศไปแล้วหลายแสนล้านบาท ล่าสุดตัวเลขความเสียหายขาดทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท จนไม่สามารถปิดบัญชีในฤดูกาลปี 55/56 และแม้ว่าที่ผ่านมาทั้ง ปปช.และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เคยทำหนังสือตักเตือน ทักท้วง แต่ก็ยังไม่สนใจเดินหน้าอย่างเต็มตัว เพราะตอนนั้นคงมั่นใจว่าตัวเองมีอำนาจสูงสุด ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตร ความจริงเริ่มปรากฏก็ดิ้นทุรนทุราย แต่วิธีการที่ตอบโต้กลับยังใช้วิธีการเดิมๆนั่นคือ ยังปากแข็งไม่ยอมรับอำนาจขององค์กรตรวจสอบดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีกล่าวหาดิสเครดิต ทำลายกันทุกวิถีทาง อ้างว่าไม่ให้ความเป็นธรรม มีการตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้า และว่ากรรมการปปช.บางคน มีการเอ่ยชื่อกล่าวหาว่า วิชา มหาคุณ มีความอคติ หรือใช้เวลารวบรัดในการพิจารณาคดี สารพัด
กรณีของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ต่างกัน มีการกล่าวหาว่าเป็นศาลการเมืองเป็นเครื่องมือของอำมาตย์ว่ากันไปโน่นเลยทีเดียว เป็นองค์กรที่เป็นเครื่องมือมาทำลาย โค่นล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของประชาธิปไตย แต่ไม่เคยยอมรับความจริงว่า การโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี ออกไปก็เพื่อให้มีการขยับตำแหน่งให้กับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี โยกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมานั่งแทน แล้วให้ ญาติคนในครอบครัวตัวเอง คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ มานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว
และที่ผ่านมาศาลปกครองก็ชี้ออกมาให้เห็นโต้งๆอยู่แล้ว ว่าผิด ผิดและก็ผิด เหมือนกับกรณีทุจริตโครงการับจำนำข้าว ที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) เมื่อมีการทักท้วงมีเสียงเตือนว่าเกิดากรทุจริต แล้วไม่ระงับยับยั้ง กลับทำหูทวนลม อหังการ์ไม่แคร์ เมื่อถึงเวลามันก็ต้องโดนแน่ ไม่โดนนี่สิแปลก
ดังนั้นเมื่อรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแบบนี้ก็อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังดิ้นรนอย่างหนักใช้เครือข่ายเท่าที่มีกดดันองค์กรอิสระ อย่าง ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญอย่างหนัก มีทั้งการพูดจาข่มขู่กดดันจากตัว ยิ่งลักษณ์เอง ที่กล่าวหาว่าไม่ยุติธรรม มีอคติตั้งธงไว้ล่วงหน้า ถัดมาก็เป็นพวกลิ่วล้อที่เป็นรัฐมนตรีหลายคนที่ออกมาพูดจาข่มขู่ทำนองเดียวกัน ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนเสื้อแดงนัดชุมนุมกดดันคู่ขนานกันไปอีกแรง รวมทั้งมีการใช้อาวุธสงครามยิงถล่มมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดมีการนัดชุมนุมกดดันในวันที่ 5 เมษายน พร้อมทั้งขู่ว่าหากตัดสินให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมีความผิด ก็ต้อง “เกิดเรื่องแน่”
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งเชื่อว่าคนในสังคมก็อยากเห็นเหมือนกันว่า บ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไรหากคำตัดสินขององค์กรอิสระองค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ และศาลตัดสินคดีออกมาแล้วไม่มีความหมาย บังคับใช้กับคนชั่วคนทำผิดกฎหมายไม่ได้ เพราะนั่นเท่ากับบ้านเมืองไร้ขื่อแป เป็นอนาธิปไตยกันแล้ว และอยากรู้เหมือนกันว่าคนของครอบครัวชินวัตร มันอยู่เหนือกฎหมาย ไม่เคารพกติกา เป็นการพูดอย่างทำอีกอย่าง
แต่รับรองว่า หาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขัดขืนปฏิเสธคำตัดสินของศาลและองค์กรอิสระจริงๆ นั่นก็หมายความว่ากำลังเดินไปสู่เส้นทางหายนะแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู !!
แน่นอนว่าอาการที่จะไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าวล้วนมาจากรู้ดีว่า “โดนแน่” นั่นคือรู้ว่าผิดแน่ แต่ความหมายก็คือ “ตัวเองรู้ดีว่าทำผิด” ผลจึงต้องออกมาแบบนั้น แต่อย่างไรก็ดีในทางการเมือง ในทางสาธารณะย่อมไม่อาจยอมรับแบบนั้นได้ และนี่คือคำตอบว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธคอเป็นเอ็น และบิดเบือนไปอีกทางหนึ่ง
เริ่มจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ขาดทุนมหาศาลสูญเสียเงินงบประมาณของชาวบ้านทั้งประเทศไปแล้วหลายแสนล้านบาท ล่าสุดตัวเลขความเสียหายขาดทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท จนไม่สามารถปิดบัญชีในฤดูกาลปี 55/56 และแม้ว่าที่ผ่านมาทั้ง ปปช.และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เคยทำหนังสือตักเตือน ทักท้วง แต่ก็ยังไม่สนใจเดินหน้าอย่างเต็มตัว เพราะตอนนั้นคงมั่นใจว่าตัวเองมีอำนาจสูงสุด ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกอย่างกลับตาลปัตร ความจริงเริ่มปรากฏก็ดิ้นทุรนทุราย แต่วิธีการที่ตอบโต้กลับยังใช้วิธีการเดิมๆนั่นคือ ยังปากแข็งไม่ยอมรับอำนาจขององค์กรตรวจสอบดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีกล่าวหาดิสเครดิต ทำลายกันทุกวิถีทาง อ้างว่าไม่ให้ความเป็นธรรม มีการตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้า และว่ากรรมการปปช.บางคน มีการเอ่ยชื่อกล่าวหาว่า วิชา มหาคุณ มีความอคติ หรือใช้เวลารวบรัดในการพิจารณาคดี สารพัด
กรณีของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ต่างกัน มีการกล่าวหาว่าเป็นศาลการเมืองเป็นเครื่องมือของอำมาตย์ว่ากันไปโน่นเลยทีเดียว เป็นองค์กรที่เป็นเครื่องมือมาทำลาย โค่นล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของประชาธิปไตย แต่ไม่เคยยอมรับความจริงว่า การโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี ออกไปก็เพื่อให้มีการขยับตำแหน่งให้กับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี โยกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมานั่งแทน แล้วให้ ญาติคนในครอบครัวตัวเอง คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ มานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งความจริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว
และที่ผ่านมาศาลปกครองก็ชี้ออกมาให้เห็นโต้งๆอยู่แล้ว ว่าผิด ผิดและก็ผิด เหมือนกับกรณีทุจริตโครงการับจำนำข้าว ที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) เมื่อมีการทักท้วงมีเสียงเตือนว่าเกิดากรทุจริต แล้วไม่ระงับยับยั้ง กลับทำหูทวนลม อหังการ์ไม่แคร์ เมื่อถึงเวลามันก็ต้องโดนแน่ ไม่โดนนี่สิแปลก
ดังนั้นเมื่อรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแบบนี้ก็อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังดิ้นรนอย่างหนักใช้เครือข่ายเท่าที่มีกดดันองค์กรอิสระ อย่าง ปปช.และศาลรัฐธรรมนูญอย่างหนัก มีทั้งการพูดจาข่มขู่กดดันจากตัว ยิ่งลักษณ์เอง ที่กล่าวหาว่าไม่ยุติธรรม มีอคติตั้งธงไว้ล่วงหน้า ถัดมาก็เป็นพวกลิ่วล้อที่เป็นรัฐมนตรีหลายคนที่ออกมาพูดจาข่มขู่ทำนองเดียวกัน ขณะเดียวกันก็ใช้มวลชนเสื้อแดงนัดชุมนุมกดดันคู่ขนานกันไปอีกแรง รวมทั้งมีการใช้อาวุธสงครามยิงถล่มมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดมีการนัดชุมนุมกดดันในวันที่ 5 เมษายน พร้อมทั้งขู่ว่าหากตัดสินให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมีความผิด ก็ต้อง “เกิดเรื่องแน่”
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งเชื่อว่าคนในสังคมก็อยากเห็นเหมือนกันว่า บ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไรหากคำตัดสินขององค์กรอิสระองค์กรตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ และศาลตัดสินคดีออกมาแล้วไม่มีความหมาย บังคับใช้กับคนชั่วคนทำผิดกฎหมายไม่ได้ เพราะนั่นเท่ากับบ้านเมืองไร้ขื่อแป เป็นอนาธิปไตยกันแล้ว และอยากรู้เหมือนกันว่าคนของครอบครัวชินวัตร มันอยู่เหนือกฎหมาย ไม่เคารพกติกา เป็นการพูดอย่างทำอีกอย่าง
แต่รับรองว่า หาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขัดขืนปฏิเสธคำตัดสินของศาลและองค์กรอิสระจริงๆ นั่นก็หมายความว่ากำลังเดินไปสู่เส้นทางหายนะแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู !!