สะเก็ดไฟ
คิดว่าคนไทยที่มีวุฒิภาวะ ไม่ขาดสติปัญญา คงจะคิดตรงกัน เมื่อได้ยินคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ผ่านสถานีโทรทัศน์ 4 แชนแนล (ทีวีคนเสื้อแดง) เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 57 ที่ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ในบทเดิมๆ ไม่เลิก
ด้วยการยกตัวเองเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่ถูกกลั่นแกล้งโดยระบบกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมว่า “ผู้ชายคนนี้โกหกคนอื่นจนเชื่อคำโกหกของตัวเองว่าเป็นเรื่องจริง” ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าพูดดี แต่ทำเหี้ยมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
แม้ว่ากรรมจะไล่ล่าจนใกล้ถึงช่วงอวสานของ “ระบอบทักษิณ” แต่นอกจากเจ้าตัวจะใม่สำนึกแล้วยังรักษาความชั่วไว้อย่างคงทน ด้วยการแสดงออกให้เห็นว่า พร้อมทำลายชาติ หากไม่ได้ตามความต้องการของตัวเอง
อาการดิ้นพราดราวกับ “ปลาไหลต้มเปรต” ของบรรดา “ขี้ข้า” ที่ออกมาตะแบงข้อกฎหมายช่วย ยิ่งลักษณ์ จากการทำผิดกฎหมายซ้ำซาก โกงเป็นกิจวัตร และความพยายามดิ้นรนที่จะกดดันให้เกิดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด เพราะเชื่อว่าเป็นสนามเดียวที่มีหวังว่าจะชนะ ประกอบกับการปลุกเร้าคนเสื้อแดงให้ออกมาปกป้อง “ยิ่งลักษณ์”
ยิ่งมัดว่า ทักษิณและเครือข่าย ทราบชะตากรรมดีว่ากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร เพียงแต่ไม่ยอมรับ และพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ โดยไม่สนใจหลักนิติรัฐ นิติธรรม หรือความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจาก “ความชอบของกู” เท่านั้น
ไม่น่าเชื่อว่า ทักษิณ จะไร้ยางอาย กล้าพูดโกหกซ้ำซากแบบแผ่นเสียงตกร่อง ด้วยการโทษว่าต้นเหตุแห่งปัญหาคือระบบยุติธรรมของประเทศ ทั้งที่สาเหตุที่ทำให้เขาหมดสิทธิ์กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด ล้วนมาจากพฤติกรรมชั่วที่ไม่เคยสำนึกของตัวเองทั้งสิ้น
“ช่วงนี้บ้านเมืองวุ่นวายเพราะกติกาไม่เป็นกติกา กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย คนที่ทำหน้าที่ที่ควรให้ความยุติธรรม ไม่ทำหน้าที่อย่างยุติธรรม ก็เลยวุ่นวาย ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามจากที่เคยมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อกัน แต่วันนี้เราแยกเขี้ยวใส่ ยิงกัน ไม่ให้อภัย โกรธแค้น ใส่ร้ายป้ายสี อยู่กับการโกหกมดเท็จ...”
ข้อความข้างต้นเป็นคำพูดของนักโทษหนีคดี ที่สำรอกผ่านทีวีช่องแดงนี้ เป็นสิ่งที่คนไทยควรจะได้พิจารณาทบทวน ย้อนดูพฤติกรรมของทักษิณ ซึ่งจะทำให้ตกผลึกได้ว่า ใครคือต้นตอความขัดแย้ง จนชาติแทบจะวิบัติ ฉิบหาย อยู่ในขณะนี้
ถ้าจำกันได้ คอป. ได้สรุปรากเหง้าปัญหาความขัดแย้งในไทยว่า เกิดจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ทักษิณพ้นผิด ในคดีซุกหุ้นทั้งที่ความจริงแล้วต้องเป็นผู้แพ้ในคดีนี้ เนื่องจาก
“คดีปรากฏชัดเจนว่า คำวินิจฉัยชี้ขาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดตาม มาตรา 295 นั้น มีทั้งหมดจำนวน 7 เสียง คือนายประเสริฐ นาสกุล นายมงคล สระฏัน นายสุจิต บุญบงการ นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ นายอมร รักษาสัตย์ นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ นายอุระ หวังอ้อมกลาง”
ในรายงานของ คอป. ยังระบุด้วยว่า “ชัยชนะ” ในคดีซุกหุ้นของ ทักษิณ ได้สร้างปรากฏการณ์ไม่ปกติขึ้นในประเทศ 2 เรื่อง คือ เกิดการกระทำที่เป็นการบิดเบือน หรือหักดิบกฎหมายอยู่หลายการกระทํา และเกิดอิทธิพลของกระแสทางสังคม และกระแสทางการเมือง ที่สำคัญคือ เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ ทักษิณ มีอำนาจ จนสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับชาติบ้านเมืองยาวนานนับสิบปี มาจนถึงปัจจุบัน
บทสรุปของ คอป. มิได้เกิดจากจินตนาการ หรือมีอคติต่อนักโทษหนีคดีทักษิณ เพราะความผิดปกติในการพิจารณาคดีซุกหุ้นของศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ อันถือเป็นที่สุด ยืนยันถึงพฤติกรรมทักษิณ ที่เข้าไปแทรกแซงการพิจารณาคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไว้อย่างชัดแจ้ง ในคำพิพากษาที่ 4948/2554 วันที่ 13 มิถุนายน 2554 ให้ยกฟ้องคดีที่ ทักษิณ ฟ้องหมิ่นประมาท น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ บริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า นายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ และ นายจิระพงศ์ เต็มเปี่ยม จากบทความในคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด” ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์ทักษิณว่า มีพฤติกรรมอยู่เหนือกฎหมาย ทำลายองค์กรอิสะ แทรกแซงตุลาการ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ฯลฯ
โดยในคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ทักษิณ ชนะคดี แต่มีการยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาในปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงใหม่ กระทั่งศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วยการยกฟ้อง เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บทความของ น.ต.ประสงค์ เป็นการวิพากษ์โดยสุจริตในฐานะสื่อมวลชนภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ โดยประเด็นสำคัญในคำพิพากษาศาลฎีกา ที่คนไทยควรอ่าน คือ
“...ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และถือว่าเป็นตำแหน่งที่ได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศ โดยสถานะของโจทก์ จึงต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนดังกล่าว
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่โจทก์ ต้องประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของจริยธรรม ได้แก่ จริยธรรมที่บุคคลทั่วไปพึงต้องปฏิบัติ และจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งยังต้องปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบของกฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด เพราะหากไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของจริยธรรม และกฎหมาย หรือปฏิบัติตัวเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของสังคม หรือประชาชนแล้ว ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องถูกตรวจสอบโดยประชาชน และองคาพยพหรือกลไกต่างๆ ในสังคม...”
ในคดีนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า มีตุลาการคนหนึ่ง จงใจใช้ดุลพินิจเพื่อช่วยเหลือให้ทักษิณพ้นผิด จากการยืนยันของ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ที่พาดพิงถึง จุมพล ณ สงขลา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ว่ามาปรึกษาเพื่อขอความเห็นในการเขียนคำวินิจฉัยเพื่อช่วยให้ทักษิณพ้นผิดในคดีซุกหุ้น
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “จุมพล” ยอมรับต่อสาธารณะ ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในเวลาต่อมาว่า เขาไม่ได้ยึดหลักกฎหมายในการพิจารณาคดีซุกหุ้น โดยอ้างว่าใช้หลักรัฐศาสตร์ พร้อมกับพูดจาเอาดีใส่ตัวว่า คำตัดสินดังกล่าวทำให้ศาลรัฐธรรมนูญรอดพ้นจากการถูกมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลเผา มีข้อความดังนี้
วันหนึ่งในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังวินิจฉัยคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนมีธุระผ่านไปแถวศาลฎีกา สนามหลวง จึงแวะไปพูดคุยกับนายวสันต์โดยไม่ได้ตั้งใจจะไปคุยเรื่องคดีซุกหุ้นแต่อย่างใด
แต่เมื่อได้คุยกันแล้ว จึงถามความเห็นนายวสันต์ว่า มองคดีนี้อย่างไร โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 เพราะมีความเห็นที่หลากหลาย และแตกออกเป็นหลายฝ่าย
“ผมก็ลองคุยกับเขาเฉยๆ ว่าเห็นอย่างไร เขาก็บอกว่า คดีนี้ผมน่าจะวินิจฉัยว่า ไม่จงใจปกปิด แต่ผมก็บอกว่า ผมวินิจฉัยแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้พิพากษามาตลอดชีวิต ถ้าเขียนคำวินิจฉัยแบบนั้น มันจะลำบาก มันหักล้างไม่ได้ ผมก็ตัดสินของผมโดยยึดหลักประชาธิปไตย และหลักรัฐศาสตร์ ว่านายกฯทักษิณไม่ได้มีความผิด
“สาเหตุที่ผมตัดสินแบบนี้ก็เพราะผมเห็นแล้วว่า ประชาชนเขาพร้อมใจกันเทคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย 11 ล้านเสียง นี่คือเสียงสวรรค์ของประชาชนที่พร้อมใจกันเลือก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสิบกว่าคน จะมาไล่เขาลงจากตำแหน่งได้อย่างไร วันนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าทักษิณผิดป่านนี้
คุณรู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น คุณเห็นพลังประชาชนที่มาให้กำลังใจนายกฯทักษิณวันมาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญไหม ขนาด กล้านรงค์ (จันทิก เลขาธิการ ป.ป.ช.) ยังต้องหลบออกประตูหลังศาลรัฐธรรมนูญ
“ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไล่เขาออก ป่านนี้ศาลรัฐธรรมนูญถูกเผาไปตั้งแต่วันตัดสินคดีไปแล้ว”
มาถึงบรรทัดนี้ คนไทยน่าจะมีบทสรุปแล้วว่า “ใคร” คือผู้ที่ทำให้กติกาไม่เป็นกติกา กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย จนประเทศชาติไร้ความสงบ
ถ้านักโทษหนีคดียังมืดบอด ก็แนะนำให้ไปส่องกระจกแล้วจะพบ สิ่งมีชีวิตที่เลวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ผู้สร้างความเสียหายต่อระบบกฎหมาย การเมือง และการปกครองจนประชาชนต้องออกมาขับไล่ทรราชดังที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้