โฆษก ปชป.ฉะ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ปล่อยกองกำลังนอกกฎหมายใช้วิธีสกปรกลอบยิง การ์ด คปท.เสียชีวิต หวังสร้างความหวาดกลัวให้มวลชน กปปส.ร่วมชุมนุมน้อยกว่าแก๊งแดง ปลุกฝ่ายความมั่นคงร่วมประชาชนปกป้องประเทศจากรัฐบาลซ่องโจร ประณาม “สุรพงษ์” วิจารณ์ศาลหวังดึงต่างชาติหนุนเลือกตั้ง กดดันให้ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมของไทย เตือน กกต.นัดพรรคการเมืองหารือต้องไม่ถูกครอบงำจาก พท. “มัลลิกา” แฉรัฐบาลไฟเขียวคืนชีพกระบวนการก่อการร้าย ซ้ำรอยปี 53 มี 2 กลุ่มแข่งกันทำผลงาน เตรียมปฏิบัติการต่อเนื่อง 17 เม.ย.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการบริหารของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ามีการเข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่าง ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นดินแดนแห่งมิคสัญญี โดยมีการใช้อำนาจรัฐและกองกำลังนอกกฎหมายทำร้ายฝ่ายตรงกันข้ามอย่างเป็นขบวนการ เช่น กรณีการลอบยิงการ์ด คปท.ที่ทางด่วนจนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 4 คน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนไม่กล้าชุมนุมใหญ่ในวันที่ 5 เมษายน 2557 เพื่อให้การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.มีผู้เข้าร่วมน้อยกว่ากลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้รับความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นวิธีการสกปรกของรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม เพราะปล่อยให้ประชาชนถูกทำร้ายทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเพียงนายกรัฐมนตรีของคนเสื้อแดงไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นนายกรักษาการของคนไทยได้อีกต่อไป เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ขาดคุณธรรมในการบริหารประเทศโดยสิ้นเชิง
“การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบการทุจริต เป็นเวลาสำคัญที่ประชาชนไม่สามารถคาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยและน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นคำตอบและทางออกให้ประเทศอีกต่อไป แต่ฝ่ายความมั่นคงต้องร่วมกับภาคประชาชนปกป้องประเทศจากรัฐบาลซ่องโจร แก้ไขปฏิรูปก่อนเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามความต้องการของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย”
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังประณามพฤติกรรมของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรองนายก และ รมว.ต่างประเทศ ที่วิจารณ์ศาลเกี่ยวกับการตัดสินให้ยกฟ้องคดีสังหารนายอัลรูไวรี โดยระบุว่าส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นการหวังผลทางการเมืองด้วยการวิจารณ์ศาลไทยว่ามีปัญหาเพื่อเชื่อมโยงกับการเมืองภายในประเทศที่รัฐบาลกำลังมีปัญหาเพราะละเมิดกฎหมาย จึงนำกระบวนการภายในประเทศไปขายกับต่างชาติ เพื่อกลับสู่เวทีการเลือกตั้งด้วยการยืมมือต่างประเทศมากดดันประเทศไทยด้วยการอ้างว่าจะต้องมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เป็นการทำลายประเทศเพื่อตอบสนองตัณหาของนักเลือกตั้ง และเป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศต้องจดจำกับพฤติกรรมของนักเลือกตั้งกลุ่มนี้ที่ทำร้ายประเทศไทย
ส่วนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะนัดหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในวันที่ 8 เมษายน และการเชิญพรรคการเมืองร่วมประชุมในวันที่ 22 เม.ย. 57 นั้น พรรคยังไม่ได้รับการติดต่อแต่ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง แต่ไม่ยินดีที่จะตกเป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองใดในการกลับเข้าสู่อำนาจ ดังนั้น หาก กกต.จะเป็นเจ้าภาพจะต้องมีความชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่สามารถกำหนดกดดันให้เกิดการเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงและความขัดแย้ง รวมทั้งปัญหาที่ต้องแก้ไขก่อนการเลือกตั้ง อีกทั้งหากยังมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงก็ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะสงบจึงต้องหาทางออกให้กับประเทศ เพราะหากรัฐบาลยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ก็ปิดประตูในการหาทางออกให้กับประเทศ เนื่องจากทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยยังไม่สำนึกที่จะเปิดทางให้เจรจาจึงไม่มีประโยชน์ที่ฝ่ายไหนจะเปิดการเจรจาเพราะเงื่อนไขที่เป็นต้นเหตุยังไม่มีการแก้ไข
ด้าน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมของ ผบ.เหล่าทัพในวันนี้ว่า ขอเรียกร้องผ่าน กอ.รมน. ผบ.ทบ. และ ผบ.เหล่าทัพที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงภายในประเทศให้พิจารณาเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นเนื่องจากรัฐบาลสิ้นสภาพในการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน และไม่สามารถควบคุมนโยบายด้านความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง รวมทั้งยังไฟเขียวปล่อยให้ขบวนการก่อการร้ายฟื้นคืนชีพมาทำร้ายประชาชน
นอกจากนี้ กรณีมือระเบิดที่เสียชีวิตที่มีนบุรีนั้นมีข้อมูลเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงจากการเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตของกลุ่มคนเสื้อแดงเอง ซึ่งจะได้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป
น.ส.มัลลิกากล่าวถึงกรณีที่เฟซบุ๊กผู้ที่ใช้ชื่อว่า “ลุงยิ้ม ตาสว่าง” ที่มีการเผยแพร่ข้อความก่อนจะเกิดการลอบยิง คปท.ที่ทางด่วนว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะนี้หลายครั้งและเกิดเหตุรุนแรงขึ้นจริงทุกครั้ง แต่ตำรวจกลับไม่สามารถจับกุมผุ้ก่อเหตุได้ จึงขอเรียกร้องฝ่ายความมั่นคงว่าระหว่างวันนี้ถึงวันที่ 7 เมษายน จะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลางดึกของวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาก็มีการกราดยิงที่ชุมนุมของกลุ่ม กปท.ด้วย ทั้งนีฝ่ายข่าวได้ประมวลข้อมูลแล้วยืนยันว่าจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีก จึงขอให้ฝ่ายความมั่นคงนำทุกเหตุการณ์มาประเมินสถานการณ์สรุปด้วยความกล้าหาญเพื่อเจรจากับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้หาทางออกตามรัฐธรรมนูญไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายมากกว่านี้จนกลายเป็นมิคสัญญีในเดือนเมษายน
“ในวันที่ 1-7 เมษายน มีข้อมูลตรงกันว่าสถานการณ์จะรุนแรงก่อเหตุไม่ซ้ำ หลังวันที่ 7 เมษายนก่อนการตัดสินคดีสำคัญหลายคดีก็จะมีเหตุรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีขบวนการก่อเหตุร้ายในลักษณะเดียวกับปี 2553 ฟื้นคืนชีพเพื่อกดดัน กปปส.และกระทบไปถึงสถาบันสำคัญของชาติเพื่อต่อรองบางอย่าง โดยมีสองชุดคือ ชุดทำงานก่อเหตุเป็นทีมตำรวจใกล้เกษียณที่อยากเป็นรัฐมนตรีที่พี่ให้มา จึงอยากให้ฝ่ายกองทัพไทยและความมั่นคงได้จับตามองเป็นพิเศษเพื่อระงับเหตุและป้องปราม ส่วนอีกทีมหนึ่งเป็นทหารนอกราชการ ใช้คนก่อเหตุจากย่านคลองเตยและคนที่ปลดประจำการ โดยเป็นการแข่งฝีมือระหว่างสองทีมนี้ จึงอยากให้ฝ่ายที่เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงได้ป้องปรามและจับตาพฤติกรรมของสองกลุ่มนี้เป็นพิเศษ แทนที่จะปล่อยให้มีคนตายแล้วค่อยมาล้อมคอก”
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวฝากไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบหรือไม่ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทีมูลนิธิด้านการกุศลได้จองพื้นที่ไว้แล้ว จึงอยากให้ตัดสินใจว่าจะปล่อยให้คนเสือแดงชุมนุมทับพื้นที่การจองของมูลนิธิการกุศลนี้ และต้องชี้แจงด้วยว่าที่เลือกสถานที่นี้มีนัยอะไรหรือไม่ ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือไม่นั้นก็ขอให้สื่อมวลชนถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะเป็น ผอ.กอ.รมน.และรักษาการนายกฯ จึงต้องตัดสินใจในสองประเด็นคือยับยั้งเหตุร้าย และการใช้พื้นที่ของคนเสื้อแดงที่ไปทับพื้นที่ที่มูลนิธิด้านการกุศลจองไว้แล้ว