รอง หน.ปชป.ย้อนเกล็ดนายกฯ ร้องโกงข้าวปีกว่าทำเฉย เอาแต่โวย ป.ป.ช.ไม่เป็นธรรม โบ้ยมั่วคดีประกันข้าวไม่คืบ ทั้งที่หลักฐานไม่พอ ฉะร้องลอยๆ ให้เป็นข่าว ต่างจากจำนำข้าวหลักฐานโกงชัด ย้ำเรื่องเกี่ยวผู้บริหารระดับสูง ป.ป.ช.สอบเอง ไม่ต้องมีอนุ กก.ตามที่อ้าง ท้า บริสุทธิ์ใจต้องแจง ให้กำลังใจ ตร.จับอาวุธสงคราม กวป.-วัยรุ่นพลาดบึ้มตัวเองมีนบุรี ชี้มีตัดตอนกันโยงการเมือง จี้หาคนชักใยสะสมอาวุธ บีบนายกฯ จริงจังจัดการ
วันนี้ (31 มี.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในข้อกล่าวหาทุจริตจำนำข้าวว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ร้องเรื่องนี้ต่อ ป.ป.ช.มากว่าหนึ่งปีแต่ไม่เคยเห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงต่อสาธารณะว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว แต่หลังจาก ป.ป.ช.สอบสวนจนพบว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จึงเชิญไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจง โดยวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะต้องชี้แจงเพราะ ป.ป.ช.ไม่อนุญาติให้เลื่อนอีก
“ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยชี้แจงในประเด็นสำคัญ คือ ทำไมไม่สั่งให้หยุดโครงการนี้ทั้งที่มีอำนาจและ ป.ป.ช.แจ้งไปยังรัฐบาลแล้วว่าโครงการนี้จะเปิดช่องทุจริต แต่กลับกล่าวหา ป.ป.ช.ว่าเป็นคู่กรณีกับรัฐบาลทั้งที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร โดยสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำมาตลอดคือเจตนาสร้างความเข้าใจผิดว่า ป.ป.ช.ไม่ให้ความเป็นธรรม กล่าวหาว่าสองมาตรฐานไม่เป็นกลาง ทั้งที่ข้อกล่าวหาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นทาง ป.ป.ช.ได้ชี้แจงอย่างกระจ่างชัดแล้ว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะยังพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างภาพให้ ป.ป.ช.เป็นผู้ร้ายในสายตาของประชาชน ทั้งที่ทำหน้าที่ในฐานะองค์กรอิสระตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน”
นายองอาจกล่าวว่า ประเด็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามใส่ร้าย ป.ป.ช.คือ 1. กล่าวหาว่า ป.ป.ช.เร่งรีบในการสรุปคดีทั้งที่มีการดำเนินการมาแล้ว 1 ปี 4 เดือน โดยนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ได้ร้องต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2555 จากนั้น ป.ป.ช.มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกระทั่งพบว่านางสาวยิ่งลักษณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจึงมีการแจ้งข้อกล่าวหา ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้ในการไต่สวนเรื่องนี้ไม่ได้มีการเร่งรัดตามที่มีการกล่าวอ้าง และเป็นเรื่องที่รัฐบาลกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบอยู่แล้ว สามารถชี้แจงได้แต่กลับไม่ดำเนินการใดๆ
2. พยายามกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยหรือกลุ่มคนของพรรคไปร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะเป็นนายกรัฐมนตรี มีปัญหาเรื่องประกันรายได้แต่ไม่มีความคืบหน้าจาก ป.ป.ช.ทั้งที่ความจริงสาเหตุที่ยังไม่คืบหน้าเพราะผู้ร้องคือพรรคเพื่อไทยไม่มีข้อมูลหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อ ในขณะที่ ป.ป.ช.พยายามขอหลักฐานไปยังรัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ไม่ส่งข้อมูลให้ ป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบ เมื่อไม่ได้รับข้อมูล ป.ป.ช.จึงไม่สามารถดำเนินการหาข้อยุติในเรื่องนี้ได้ จึงเห็นว่าเป็นการร้องลอยๆ เพื่อเป็นข่าวมากกว่าจะเอาคนผิดมาลงโทษ ซึ่งมีการกระทำลักษณะนี้จำนวนมาก ตรงกันข้ามกับกรณีโกงจำนำข้าวที่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำความผิดที่ ป.ป.ช.สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ จึงถือว่าสองประเด็นนี้ต่างกัน
3. กล่าวหาว่า ป.ป.ช.ไม่ตั้งอนุกรรมการสอบสวนก่อนแต่ให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณา ซึ่ง ป.ป.ช.ชี้แจงแล้วว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูงจะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ในการดำเนินการที่จะพิจารณาเรื่องนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องตั้งอนุกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการพยายามกล่าวหาว่า ป.ป.ช.ดำเนินการไม่ให้ความเป็นธรรม สองมาตรฐานหรือไม่เป็นกลางจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ตนอยากถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ตลอดระยะเวลาของการตรวจสอบตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 จนถึงปัจจุบัน เหตุใดไม่มีการชี้แจงมีแต่เน้นที่จะกล่าวหา ป.ป.ช.ว่าไม่ให้ความเป็นธรรมเท่านั้น ซึ่งตนขอเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล้าที่จะสู้ความจริงหากมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิด ในฐานะเป็นนายกฯ และประธาน กขช.ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างถูกต้องอย่างไร ไม่ได้เข้าไปมีส่วนในการดำเนินการโครงการนี้มีเหตุแห่งการทุจริตอย่างไร หากมั่นใจว่าบริสุทธิ์ต้องชี้แจงต่อสาธารณชนให้เป็นที่ประจักษ์มากกว่าออกมากล่าวหา ป.ป.ช.แต่เพียงอย่างเดียว หากยังกล่าวหาอย่างเดียวเท่ากับนายกฯ ไม่สามารถชี้แจงต่อสาธารณชนได้และรู้ว่าคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.อาจชี้ว่ามีความผิดจึงพยายามทำลายน้ำหนักการวินิจฉัยของ ป.ป.ช.มากกว่าที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงการจับกุมอาวุธสงครามที่อาจเกี่ยวข้องกับความรุนแรงในสองกรณีคือ การจับกุมคลังแสงขนาดย่อมบริเวณที่ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ของกลุ่ม กวป.และการตรวจสอบพบระเบิดไปป์บอมบ์ 9 ลูก ที่บ้านเช่าของผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่ซอยราษฎร์อุทิศ มีนบุรี ว่าการจับกุมอาวุธสงครามในสองกรณีนี้ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถดำเนินการจับกุมได้ และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเอาจริงเอาจังกับคดีความที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสองกรณีนี้ โดยเฉพาะกรณีไปป์บอมบ์นั้นน่าจะเป็นจุดที่มีความเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เพราะมีข้อมูลชี้ว่าเรื่องนี้มีความพยายามที่จะตัดตอนให้เป็นเรื่องของความคึกคะนองของวัยรุ่นในพื้นที่ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาเนื้อหาของคดีแล้วพบว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องคึกคะนองของวัยรุ่นแต่เชื่อมโยงกับการสะสมระเบิดเพื่อก่อความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองใน กทม. เพราะฉะนั้นจึงขอเรียกร้องว่าทั้งสองคดีนี้เป็นคดีตัวอย่างที่จะสืบไปยังผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ให้คดีถูกตัดตอน มิเช่นนั้นจะเป็นแบบอย่างให้มีการสะสมอาวุธอีกต่อไป
ดังนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเอาจริงเอาจังแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจเข้ามาตัดตอนในคดีนี้ และต้องแสดงออกต่อสาธารณะถึงความพยายามที่จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ด้วย เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุการจับอาวุธสงครามทั้งสองกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้แสดงความเอาจริงเอาจังที่จะดำเนินการเรื่องนี้แต่อย่างใด จึงต้องถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยากเห็นความรุนแรงในบ้านเมืองใช่หรือไม่ หากไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงจะต้องแสดงออกว่าจะดำเนินการอย่างจริงจังกับสองคดีสำคัญนี้