หน.ปชป.เตือน “ณัฐวุฒิ” หยุดให้ความเท็จเรื่องนายกฯ คนกลาง ปลุกระดมให้แตกแยก ยันเป็นไปไม่ได้ที่จะรับตำแหน่ง เตือนยิ่งขยายความหวังรักษาอำนาจสุดท้ายเสียหายหมด ชี้ต้นเหตุความขัดแย้งเพราะนายกฯ ไม่ฟังใคร แนะจัดเลือกตั้งต้องอยู่ใต้เงื่อนไขที่ทุกฝ่ายยอมรับ ซัดเสื้อแดงใช้ความรุนแรงข่มขู่คุกคาม ลามไม่เว้นแต่พระ ส่วนรัฐบาลเชิญยูเอ็นแนะให้ดูการที่รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
วันนี้ (25 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์ และเลขาธิการ นปช.ออกมาอ้างว่ามีรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลาง และ ครม.ที่ กปปส.จะเสนอชื่อเป็นรัฐบาลคนกลาง ว่า ตนไม่ทราบว่านำรายชื่อมาจากไหน แต่ขอให้หยุดให้ความเท็จ หยุดปลุกระดมให้เกิดความแตกแยก แต่มาแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพราะสิ่งที่ต้องการคือให้ประชาชนกลับมายอมรับและเชื่อถือกระบวนการทางการเมือง โดยรัฐบาลมีหน้าที่ตอบสนองประชาชน แต่ถ้ายังขยายความเท็จและความขัดแย้งเพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าและรักษาอำนาจสุดท้ายก็ไม่ได้ประโยชน์เสียหายหมด
ส่วนที่มีรายชื่อของนายอภิสิทธิ์อยู่ในโผรายชื่อนายกฯ คนกลางด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไรครับ เป็นไปไม่ได้ หนึ่ง ผมไม่รับ และสอง ผมไม่ได้เป็นกลางครับเงื่อนไข ที่ผมจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง คือต้องมาตามระบบของพรรคการเมือง การเลือกตั้ง ไม่มีอย่างอื่น”
ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โยนให้ กกต.ดูแลการเลือกตั้งครั้งใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าการชุมนุมคัดค้านที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องคู่กรณีกับรัฐบาลไม่ใช่ กกต.และพรรคการเมืองก็ไม่ใช่คู่กรณี แต่รัฐบาลคือผู้ที่ทำให้ประชาชนไม่ยอมรับ ขาดความน่าเชื่อถือจึงต้องแก้ปัญหา กกต.แก้ไม่ได้ จะทำได้เฉพาะวางมาตรการที่ดีที่สุดในเชิงปฏิบัติ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมืองได้เพราะไม่ใช่คู่กรณี อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะมีปฏิกิริยาไม่ตอบสนองประชาชนอยู่ขณะนี้คิดว่าสังคมยังต้องเรียกร้องต่อไปเพราะเป็นทางเดียวที่จะเดินออกจากปัญหาได้
“ต้นเหตุมาจากรัฐบาลและนายกฯ ไม่ยอมฟังใครเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม และเรื่องอื่นที่ตามมาจนมาถึงทุกวันนี้ ยังไม่ยอมเข้าใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ผมคิดว่าทุกคนควรรับฟังข้อเรียกร้องของประชาชนทุกกลุ่มแล้วหาคำตอบให้การเลือกตั้งเรียบร้อย ไม่ใช่คิดอยากเลือกตั้งเร็วๆ จะได้กลับมามีสถานะ การที่พรรคเราจะส่งคนลงสมัครหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับประชาชนจะร่วมการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าเราลงสมัครแต่ประชาชนยังมีทัศนคติเหมือนเดิมก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไม่ลงแล้วประชาชนไม่ตัดติดใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไร หลักจึงอยู่ที่ประชาชน พรรคพร้อมช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนถ้ารัฐบาลมีคำตอบว่าจะแก้ปัญหาให้เกิดความมั่นใจในการปฏิรูปอย่างไร เช่น ในปี 49 ก็ใช้เวลาสองเดือนกว่าตราพระราชกฤษฏีกากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เมื่อสถานการณ์เรียบร้อยเราก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่เข้าใจว่าจะเร่งเดินหน้าให้มีการเลือกตั้งไปทำไม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่สังคมต้องการคือการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายตามหลักสากล จึงจะเป็นที่มาของการเลือกตั้งที่เป็นกลไกสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การเลือกตั้งที่มีปัญหาและถูกบิดเบือนจนนำไปสู่การทำลายประชาธิปไตย ส่วนที่รัฐบาลพยายามบอกว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตยและพรรคการเมืองต้องลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ตนเห็นว่าถ้ายังไม่เข้าใจสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นตลอด 5 เดือนที่ผ่านมาก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ การหลับหูหลับตา คิดเอาเองว่าไม่มีปัญหาอยากทำแบบเดิมแล้วจะได้สิ่งที่แตกต่างออกมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการจัดการเลือกตั้งต้องอยู่ใต้เงื่อนไขที่ทุกฝ่ายยอมรับจึงต้องตั้งหลักว่ามีเงื่อนไขอะไรได้ เพื่อเริ่มพูดคุยเดินหน้า แต่ถ้าไม่สนใจว่าใครจะยอมรับการเลือกตั้งหรือไม่ไม่สนใจ 13 ล้านคนที่ไม่ไปใช้สิทธิวันที่ 2 ก.พ.และ 6 ล้านคนที่ปฏิเสธก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทั้งนี้ เห็นว่าขณะนี้ยังมีโอกาสเพราะเป็นช่วงที่มีช่องว่างระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะส่งมาอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะหารือตราพระราฏฤษฏีกาใหม่ ในปี 49 ไม่ได้มีปัญหารุนแรงเท่าครั้งนี้รัฐบาลกับ กกต.ขณะนั้นยังหารือใช้เวลาเกือบ 2 เดือนก่อนที่จะมีการตราพระราชกฤษฏีกาออกมา ทำไมครั้งนี้จะต้องเอาเป็นเอาตายไม่ยอมฟังใคร ไม่สนใจเงื่อนไขสภาพปัญหาเลย จะกำหนดให้เร็วที่สุดเพื่ออะไร
“ที่คุณยิ่งลักษณ์พูดว่า นักการเมืองทุกคน พรรคการเมืองทุกพรรค มีหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตย มีหน้าที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ควรจะเตือนตัวเองว่าพรรคเพื่อไทยมีหน้าที่รักษาประชาธิปไตยด้วยการเคารพ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ มีแต่พรรคเพื่อไทยที่เป็นคดีอยู่ขณะนี้ เราสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย และไม่ประสงค์จะให้ประชาธิปไตยถูกบิดเบือนโดยกลุ่มคนที่ใช้อำนาจในทางไม่ชอบผ่านกระบวนการการเลือกตั้งด้วย เรายินดีที่จะคุยให้เห็นว่าเงื่อนไขต่างๆ คืออะไร แต่เมื่อฝ่ายรัฐบาล ผู้ถืออำนาจไม่สนใจใยดีต่อความเห็นคนอื่น ต่อข้อเรียกร้องอะไรเลยนั้น มันจะสร้างความยอมรับได้อย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงปัญหาที่รัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดทำร่าง พ.ร.บ.บประมาณร่ายจ่ายปี 58 ว่า ปกติตามปฏิทินจะเป็นการประเมินเรื่องของรายรับเพื่อกำหนดวงเงินที่เหมาะสม ซึ่งต้องคำนึงถึงกรอบวินัยการเงินการคลังและการลงทุน ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมการได้ ส่วนจะมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาผลักดันเมื่อไหร่ก็ค่อยมาปรับแก้กันอีกที ส่วนที่คาดการณ์ว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอาจจะต้องขาดดุลงบกว่า 5 แสนล้านบาท หลังจาก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องที่หนีไม่ได้ หากต้องลงทุนมากๆ เพราะการที่บอกว่าไม่ขาดดุล แต่แอบกู้นอกระบบก็คือการขาดดุล เพียงแต่เมื่อเข้าสู่งบประมาณก็มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ทำให้ชัดเจนว่าสถานะการเงิน การคลังที่แท้จริงของประเทศเป็นอย่างไร เป็นการขาดดุลในงบประมาณเท่านั้นเอง ทำให้ความจริงปรากฎ โปร่งใสและง่ายต่อการบริหารมากกว่า
ส่วนกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทั้งการปาระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ป.ป.ช.และ กลุ่ม กวป.รุมทำร้ายพระสงฆ์นายอภิสิทธิ์ ว่า เป็นการยืนยันปัญหาการใช้ความรุนแรง และการมุ่งในการลดความน่าเชื่อถือ ข่มขู่ คุกคาม ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับองค์กรอิสระของรัฐบาล ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสภาพการณ์ยังเป็นอย่างนี้ บ้านเมืองจะสงบยาก เพราะรัฐบาลจงใจทำให้เกิดขึ้นหรือปล่อยปละละเลย ให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ฉะนั้นหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องการให้มีการเลือกตั้งที่ปกติ ก็ต้องตอบคำถาม และตอบสนองต่อข้อเรียกร้องว่า จะหยุดยั้งการใช้เสียงข้างมาก ข่มขู่ คุกคาม หรือแม้กระทั่งการใช้วิธีการข่มขู่ คุกคาม เอารัดเอาเปรียบ เพื่อให้ได้เสียงข้างมากนั้นอย่างไร การเมืองถึงจะหลุดพ้นจากวงจรความขัดแย้งตรงนี้ได้
ส่วนการที่รัฐบาลเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เข้ามาจับตาดูสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยูเอ็นมีหน้าที่สำคัญคือมาตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น หากรัฐบาลอยากจะเชิญยูเอ็นมา ก็ขอให้มาดูประเด็นรัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร พวกตนก็ยินดีให้ข้อมูลด้วย