หัวหน้าประชาธิปัตย์ จี้ “ยิ่งลักษณ์” ใช้โอกาสศาล รธน.วินิจฉัยเลือกตั้งโมฆะคลายปม แนะเคารพคำตัดสิน ปรับท่าที เน้นเจรจา “สุเทพ” ยันเงื่อนไขหมดแล้ว กั๊กลงเลือกตั้ง บอกยังตอบไม่ได้ เชื่อเลขาฯ กปปส.คงไม่ขวางโหวตหากถ่ายสดเจรจา
วันนี้ (20 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ใช้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เป็นโมฆะ ว่าเป็นโอกาสในการคลี่คลายปัญหาบ้านเมือง โดยเห็นว่าต้องเริ่มต้นที่การเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและหาทางให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติเพื่อเดินหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่า โดย กกต.จะต้องเป็นเจ้าภาพร่วมกับรัฐบาลระดมความคิดว่าการจะมีการเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเกิดความเรียบร้อย ไม่มีปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร จึงอยากให้รัฐบาลปรับท่าทีใหม่จากที่เคยแสดงออกว่าจะไม่มีการเจรา แต่จะกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เพราะไม่ทราบว่าจะทำไปทำไมหากตั้งใจจะให้กระบวนการประชาธิปไตยเดินหน้า ก็ต้องทำให้กระบวนการราบรื่น คือทุกฝ่ายยอมรับเพื่อกำหนดเส้นทางให้บ้านเมืองร่วมกันโดยไม่ขัดกฎกติกา
“ผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมคุณยิ่งลักษณ์กับคุณสุเทพจะคุยกันไม่ได้ เพราะคุญสุเทพ บอกว่าพร้อมคุย แต่ขอให้มีการถ่ายทอดสดเพื่อให้ประชาชนสบายใจ แต่คุณยิ่งลักษณ์เคยตั้งเงื่อนไขสองเรื่องคือให้เลือกตั้งให้เสร็จ ตอนนี้จบแล้ว และให้คุณสุเทพกลับบ้านตอนนี้คุณสุเทพอยู่ในสวน ก็ไม่มีประเด็นที่จะต้องตั้งเงื่อนไขอะไรแล้ว จึงควรที่จะคุยกันเพื่อกำหนดแนวทางว่ามีอะไรต้องดำเนินการก่อนการเลือกตั้งบ้าง แต่ถ้าบรรยากาศยังเป็นแบบนี้ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าการเลือกตั้งจะสำเร็จหรือไม่ และจะมีคำถามเกิดขึ้นว่าจะมีหลักประกันความเรียบร้อยในการเลือกตั้งอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคต้องการเห็นการเลือกตั้งที่เรียบร้อย เมื่อมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นพรรคก็พร้อมอยู่แล้ว แต่ถ้ากำหนดการเลือกตั้งโดยรัฐบาลฝ่ายเดียวน่าจะทำไม่ได้ เพราะโดยหน้าที่ต้องทำร่วมกับ กกต. เพราะเวลามีปัญหารัฐบาลก็บอกว่าเป็นเรื่องของ กกต. แต่เวลาที่จะไปสร้างเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค รัฐบาลกลับไปกำหนดก็ไม่ถูกต้อง จึงต้องปรับท่าทีใหม่ เพราะถ้ารัฐบาลกับ กกต.ไม่ร่วมกันทำให้การจัดการเลือกตั้งเรียบร้อยจะเกิดปัญหาเดิมขึ้นอีก ส่วนพรรคจะเว้นวรรคทางการเมืองโดยไม่ส่งผู้สมัครลงอีกครั้งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่เงื่อนไขการกำหนดแนวทางที่จะไปสู่การเลือกตั้ง ยังตอบอะไรในขณะนี้ไม่ได้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนมองในเชิงบวกว่าขณะนี้เป็นโอกาสรัฐบาลกับ กกต.อย่าเพิ่งผลีผลาม ขอให้ได้ใช้เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จของประเทศจะดีที่สุด การจะลงสมัคร ส.ส.หรือไม่ เป็นเรื่องหลักการว่าการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยต้องได้รับการยอมรับ มีหลักประกันเรื่องความเป็นธรรม เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนพร้อมเข้าร่วม ไม่มีอุปสรรคในการจัดการเลือกตั้ง จึงหนีไม่พ้นที่รัฐบาลกับ กปปส.จะมาพูดคุยกันว่ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง เพราะต้องสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง เนื่องจากในขณะนี้การเลือกตั้ง ส.ว.ประชาชนก็ตื่นตัวกระตือรือร้นน้อยมาก ซึ่งไม่ควรจะเป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ภายใต้กติกาที่มีอยู่สามารถที่จะสร้างความมั่นใจในกระบวนการเลือกตั้งได้มากขึ้น แต่ต้องนำปัญหามาวางบนโต๊ะเพื่อหาทางออก แต่ถ้าคิดที่จะปรับโครงสร้างระบบเลือกตั้งก็จะเป็นปัญหาเพราะต้องแก้รัฐธรรมนูญ หรือ แก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะมีคำถกเถียงอีกว่าใครมีอำนาจนิติบัญญัติ ดังนั้นเบื้องต้นต้องไม่ยึดติดในเรื่องรูปแบบ แต่ดูว่าอะไรจะทำให้การเลือกตั้งเดินหน้าเพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ
“พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของการปฏิรูปประเทศด้วย เพราะปัญหาที่ผ่านมาคนมองว่าพรรคการเมืองสนใจแต่การแย่งชิงอำนาจ โดยไม่สามารถทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ ได้ จึงเป็นที่มาที่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพรรคการเมืองต้องมาทำหน้าที่เป็นเครื่องมือรับใช้การปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ซึ่งการกำหนดจุดยืนอย่างเป็นรูปธรรมจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าพรรคการเมืองพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือในการปฏิรูป แต่จะเริ่มต้นไม่ได้เลยหากยังไม่มีการคุยกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ในขณะนี้ไม่ควรใช้วิธีการเค้นหาคำตอบจากแต่ละฝ่าย เพราะหากคำตอบไม่ตรงกันบ้านเมืองก็เดินไม่ได้ จึงควรตั้งต้นว่าความห่วงใยของประชาชนจำนวนมากที่แสดงออกและทำให้การเลือกตั้งไม่สำเร็จ จะขจัดเงื่อนไขเหล่านี้อย่างไรเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย อย่าถามรายละเอียดมากเพราะถ้าตนพูดมากแล้วไม่ตรงกับฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ก็จะไม่ยอมคุยกันอีก จึงต้องเริ่มถามทุกคนก่อนว่าพร้อมที่จะคุยหรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์พร้อมเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า อย่าพึ่งถามว่าจะคุยอะไร โดยอะไรก็ตามที่จะเป็นปัจจัยให้ทุกฝ่ายยอมรับเลือกตั้งนำไปสู่การปฏิรูปเป็นโจทย์ที่ต้องนำมาตั้งต้นก่อน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเทียบเคียงการออกพระราชกฤษฏีกากำหนดการเลือกตั้งใหม่ในปี 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯว่ามีการระบุว่า กกต.ได้หารือกับพรรคการเมืองเพื่อร่วมกำหนดวันเลือกตั้งมาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ตนยังไม่เห็นคำวินิจฉัยฉบับเต็ม เพราะศาลอาจจะมีการเขียนเรื่องเหล่านี้ด้วย ซึ่งในปี 49 ศาลระบุชัดว่าขั้นตอนที่จะดำเนินต่อไปและเป้าหมายคืออะไร และพระราชกฤษฏีกาขณะนั้นก็ชัดเจนว่าต้องจัดการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายยอมรับ จึงเป็นโอกาสของรัฐบาลและ กกต. แต่ถ้ายังปฏิเสธปิดประตูอีกเพียงเพื่อเอาชนะคะคานกันก็ไม่เป็นประโยชน์กับใคร ส่วนที่นายสุเทพ ประกาศจะขัดขวางการเลือกตั้งนั้น ตนเห็นว่านายสุเทพคงไม่ติดใจเพราะพร้อมที่จะคุยหากมีการถ่ายทอดสด
วันเดียวกัน วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ได้เรียกประชุมภายในกับรองหัวหน้าภาคต่างๆ รองเลขาธิการภาคและกรรมการบริหารพรรคบางส่วน โดยใช้เวลาประชุมราวหนึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบให้รองเลขาธิการภาคเน้นทำพื้นที่และรับผิดชอบพื้นที่ตามรายภาค อาทินายอัศวิน วิภูศิริ รองหัวหน้าภาคเหนือร่สมดูแลพื้นที่กับนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองเลขาฯภาคเหนือ. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้สภาคอีสานดูพื้นที่โดยมีทีมงานร่วมดูแล เช่น นายวิรัช ร่มเย็น นายศุภชัย ศรีหล้า นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าภาคกลาง ร่วมรับผิดชอบพื้นที่กับนายศิริโชค โสภา รองเลขาฯภาคกลาง นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าภาคกทม. ดูแลภาคกทม.และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าภาคใต้ ร่วมดูแลพท้นที่กับนายเทพไท เสนพงศ์ รองเลขาฯภาคใต้ ในกรณีที่พรรคส่งคนลงสมัครับเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหญ่อีกครั้งในวันที่ 25 มี.ค. อีกครั้ง