ผ่าประเด็นร้อน
พิจารณากันตามรูปการณ์ และการเคลื่อนไหวของเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่มีอยู่ทั้งหมดล้วนเดินไปในทางเดียวกัน มีเป้าหมายทั้งการส่งสัญญาณที่เป็นคำพูดข่มขู่ล่วงหน้าในทำนองว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในบ้านเมืองแน่ โดยตัวอย่างคำพูดที่เห็นชัดและพูดซ้ำๆออกมาให้เห็นอย่างน้อยสองครั้งคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) บอกว่า หากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในราวเดือนเมษายน จะต้องเกิดเหตุรุนแรงในบ้านเมืองขึ้นแน่
ขณะเดียวกันก็มีคำพูดของคนในพรรคเพื่อไทย คนในรัฐบาลต่างก็ออกมาพูดในทำนองเดียวกัน รวมไปถึงมวลชนคนเสื้อแดง ที่ล่าสุดได้มีการ “กระชับมวลชน” กันใหม่ โดยเปลี่ยนตัวหัวโจก จาก ธิดา ถาวรเศรษฐ มาเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ นั่งเก้าอี้ประธาน แล้วให้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเลขาธิการ พร้อมๆกับการเคลื่อนไหวเตรียมการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และนัดชุมนุมใหญ่ในเดือนเมษายน หรือเมื่อใดก็ตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์
ที่เห็นได้ชัดในเวลานี้ก็มีการส่งมวลชนจำนวนหนึ่งไปปักหลักข่มขู่ ขัดขวางการทำงานของ ป.ป.ช.ที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช.ไว้ล่วงหน้าแล้ว และที่มั่นใจว่าเกมนี้ “เล่นแรงแน่” เพราะหากได่ฟังจากคำพูดซื่อๆ มั่วๆ ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่า “หวังว่าจะได้รับความยุติธรรม” จาก ป.ป.ช.และศาลในหลายคดีที่ตัวเองกำลังเอาคอพาดเขียง
นั่นหมายความว่าถ้าตัดตินว่าเธอ “ผิด” ก็หมายความว่าเธอไม่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีรายการป่วนกันอย่างขนานใหญ่ และแน่นอนว่าต้อง “ป่วนแน่” เพราะมีการเตรียมการมีการเคลื่อนไหวกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
หากพิจารณากันก็ต้องบอกว่ามีหลายคดีที่เรียงกันเป็นหางว่าวจ่อคิวกันอยู่ ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ตกจากอำนาจ และเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เริ่มจากคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง เพราะหากชี้ว่า “โฆฆะ” ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ อาจต้องรับผิดชอบทางกฎหมายตามมาอีก แต่ที่แน่ๆ ทำให้โอกาสที่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบต้องหลุดลอยไป มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไม่น้อยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่บรรดาคนในรัฐบาลที่เป็น “ทะแนะ” ทั้งหลายต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ” มาชี้เรื่องแบบนี้ แต่เชื่อเถอะออกมาแบบนี้ทีไร-พังทุกที เหมือนกับกรณีคดียุบพรรคทยรักไทย ต่อเนื่องมาจนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.ก็เรียบร้อยศาลตัดสินฟันโชะทุกที
แต่ที่น่าเป็นห่วงและหวั่นไหวที่สุดในเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็คือ คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวในราวต้นเดือนเมษยน แม้ว่าจะพยายามยื้อกันทุกรูปแบบแล้ว แต่กรอบเวลามันทำได้เพียงแค่นั้น และถ้าผลออกมาว่าผิดก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที และเส้นทางต่อไปก็อาจไปถึงคุกกันเลยทีเดียว เรื่องแบบนี้แหละที่ทำให้ขนหัวลุก แต่ก็อย่างว่าในเมื่อยังมีอิทธิฤทธิ์อยู่ก็ต้องดิ้น ต้องป่วนให้เต็มที่อย่างน้อยก็ต้องข่มขู่ หวังทำลายองค์กรอิสระ ทำลายศาลให้ป่นปี้ไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี นาทีนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนจากหน้ามือจนกลายเป็นหลังเท้าแล้ว พิสูจน์ได้จากการตื่นตัวของมวลมหาประชาชน ที่ออกมารวมตัวขับไล่ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและระบอบทักษิณ ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นการพิสูจน์ให้เห็นพวกเขา “ตื่นตัวและตาสว่าง” กันมากแล้ว ได้เห็นถึงความเอาเปรียบเห็นแก่ตัวของคนในครอบครัวชินวัตร ที่ทำทุกทางเพื่อหาประโยชน์จากบ้านเมืองโดยใช้อำนาจเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจและแสวงหาอำนาจแบบไม่รู้จักพอ ขณะที่ผลงานในฐานะรัฐบาลกลับ “ห่วยแตก” ทั้งตัวผู้นำ คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เวลานี้สังคมมองออกแล้วว่า “ไร้สติปัญญา” สร้างความอับอายให้กับคนไทยที่มีคนแบบนี้มาเป็นผู้นำการบริหาร การยุยงปลุกปั่นถึงขั้นจะแยกแผ่นดิน จนเกิดปฏิกิริยาต่อต้านกันขนานใหญ่ไปทั่วประเทศจนต้องถอยกรูดชิ่งกันพัลวัน
สรุปก็คือ งานนี้ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าของรัฐบาล เป็นเจ้าของคนเสื้อแดงต้องสั่งเล่นเกมแรงแน่ อย่างน้อยต้องการข่มขู่เอาไว้ก่อน หวังว่าหากใช้วิธีจะรักษาอำนาจให้กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ต้องตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงไม่ต้องติดคุก แต่ก็นั่นแหละในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ชาวบ้านตื่นรู้ขยายวงแบบนี้
ยิ่งการปฏิเสธศาล ไม่ยอมรับองค์กรอิสระ แล้วใช้วิธีป่าเถื่อนข่มขู่คุกคามก็ยิ่งพัง และจะส่งผลให้ยิ่งลักษณ์ไม่มีที่ยืนในอีกความหมายหนึ่ง อย่างที่เคยพูดเอาไว้จริงๆ
