ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้คงไม่มีใครสงสัยกันแล้วว่า ผลการชี้มูลคดีทุจริตจำนำข้าวที่ตั้งข้อหาต่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) และมีกำหนดการคร่าวๆ ว่าคงจะต้องออกมาในราวต้นเดือนเมษายนจะออกมาแบบไหน เพราะแทบทุกคนเชื่อว่า “ต้องชี้มูลความผิด” ค่อนข้างแน่ ถ้าออกมาอีกทางนี่สิเรื่องแปลก เนื่องจากที่ผ่านมาทั้ง ป.ป.ช.เองก็เคยส่งหนังสือเตือนเรื่องการทุจริตและให้ปรับปรุงแก้ไขมาตั้งแต่ปีมะโว้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็เตือน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ก็เตือนก็ห้ามว่าอย่าทำแบบนี้เพราะมันโกงเดี๋ยวจะเจ๊งกันทั้งระบบ แต่ก็ไม่ฟัง
เพราะมั่นใจว่าตัวเอง “ใหญ่คับฟ้า” คุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่นึกว่าจะอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น
แค่เรื่อง ป.ป.ช.ชี้มูลเรื่องเดียวสำหรับ ยิ่งลักษณ์ ตัวแทนทุน-อำนาจของ ทักษิณ ชินวัตร ก็อ๊วกแล้ว เพราะนอกจากเสี่ยงต่อการถูก “ถีบพ้นเก้าอี้” นายกรักษาการพ้นจากอำนาจแล้วยังเดิมพันเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เป็นใครก็ต้องหัวเสีย หวาดกลัวจนขี้แทบขึ้นสมองอยู่แล้ว นี่ยังไม่นับเอาเรื่ององค์ประกอบอื่นๆ นั่นคือเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงกระบวนการขั้นตอนการพิจารณาและลงมติในร่างกฎหมายดังกล่าวผิดกฎหมาย นั่นก็หมายความว่าต่อไป ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกฯ ที่ลงนามอนุมัติร่างกฎหมายเพราะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงินก็ต้องโดนยื่นถอดถอนตามมาอีก
ขณะเดียวกันยังมีผลกระทบต่อเนื่อง จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภามิชอบ และต่อมา ป.ป.ช.ก็กำลังชี้มูลสมาชิกรัฐสภาจำนวน 312 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีชื่อของ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา
เรื่องเหล่านี้ล้วนกระทบต่อสถานะของยิ่งลักษณ์ และระบอบทักษิณทั้งสิ้น โดยเฉพาะตำแหน่งประธานวุฒิสภา ถือว่ามีความสำคัญในการค้ำบัลลังก์อำนาจทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ยังมีกลุ่ม กปปส.ที่นำโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ปักหลักพักค้างแบบยืนหยัดขับไล่อยู่กลางกรุงจนทำให้หมดสภาพความเป็นรัฐบาลไปแล้ว
อีกทั้งยังมีเรื่องใหญ่ก็คือ เรื่อง “เบี้ยวหนี้” ชาวนาจากโครงการจำนำข้าว ที่ล่าสุดแม้แต่เงินยืมจาก “งบกลาง” จำนวน 2 หมื่นล้านบาทจะนำมาจ่ายซื้อเวลาไปก่อน เอาเข้าจริงก็ยังไม่ได้จ่ายสักบาท และเรื่องหลังนี่แหละทำให้เสียมวลชนคนกันเองไปเยอะ เพราะเรื่องเงิน เรื่องปากท้อง มันเรื่องใหญ่ยิ่งนานยิ่งเดือดร้อน ซึ่งในฐานะรัฐบาลต้องรับผิดไปเต็มๆ
เมื่อพิจารณาจากภาพรวมดังกล่าวมาทั้งหมดทุกเรื่องล้วนแล้วสะเทือนสถานะของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระแทกมาถึง ทักษิณ อย่างแรง และคราวนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง เพราะไม่อาจเบี่ยงเบนเข้า “เงื่อนไข” ประชาธิปไตยได้เต็มรูปแบบ เนื่องจากทหารยังไม่ปฏิวัติ จะโบ้ยว่าอำมาตย์กลั่นแกล้ง มันก็ปลุกระดมมาแบบนี้ทุกที
ดังนั้น เมื่อหนักหนาสาหัสมันก็ช่วยไม่ได้ที่ ทักษิณ ชินวัตร จะต้องดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจ รักษาธุรกิจของตัวเองและครอบครัวเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ขณะเดียวกันคำพูดของ “ขี้ข้าขนานแท้” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่วันนี้รับอาสาเป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบที่ส่งสัญาณข่มขู่นำร่องมาก่อนว่าภายในเดือนเมษายนหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดยิ่งลักษณ์ ก็น่าเป็นห่วงว่าจะเกิด “สถานการณ์รุนแรง” ซึ่งไม่ต้องบอกทุกคนก็ย่อมรู้ว่าต้องเป็นไปตามนั้น เนื่องจากเวลานี้ทุกความเคลื่อนไหวของเครือข่ายทักษิณ กำลังเดินไปในทางเดียวกัน โดยสังเกตจากเหตุการณ์ข่มขู่กรรมการ ป.ป.ช.ขัดขวางการทำงานทุกทาง ส่งกองกำลังติดอาวุธยิงถล่มศาล สารพัด
ล่าสุดมีการปรับขบวนมวลชนคนเสื้อแดง เปลี่ยนตัว “หัวโจก” จาก ธิดา ถาวรเศรษฐ มาเป็นขี้ข้าเด็กในบ้านอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป้าหมายก็เพื่อภารกิจเคลื่อนไหวกดดันข่มขู่ก่อนที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ในเดือนเมษายน
สิ่งที่เร่งมือก็คือการ “ปลุกระดม” ทำลายเครดิตองค์กรอิสระ และองค์กรศาลทั้งหมด เพราะนาทีนี้ถือว่า ทักษิณ ชินวัตร กำลังหน้ามืด ต้องสั่งลุยสู้จนถึงที่สุด เพราะถ้า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกชี้มูลความผิดก็ต้องตกจากอำนาจและเสี่ยงเดินเข้าคุก นั่นย่อมหมายถึงความเสียหายตามมาแบบคาดไม่ถึง ดังนั้นในมุมของเขาก็ต้องเลือก “เกมแรง” เพราะคิดว่าจะประคองรักษาอำนาจและบีบให้เจรจาต่อรองกันได้บ้าง
แต่ปัญหาก็คือจะทำได้อย่างที่คิดหรือเปล่า เนื่องจากชาวบ้านได้เห็นธาตุแท้หมดแล้ว!!