xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.โต้ “ปู” ซัด กม.ลิดรอนแต่คนชั่ว จี้ฟันเซ็นค่าพีอาร์ ชม ขรก.กต.ป้องประโยชน์ชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
โฆษกประชาธิปัตย์ จวก “ยิ่งลักษณ์” ขอขยายเวลาแจงจำนำข้าว ป.ป.ช. จงใจเลี่ยง ชม ขรก.กต.ปกป้องประโยชน์ชาติ ยันกฎหมายลิดรอนแต่คนชั่ว จวกทำลายคุณธรรมยับเยิน พร้อมถามหาความรับผิดชอบทำผิด รธน. “มัลลิกา” จี้ฟันเซ็นค่าพีอาร์โครงการ 240 ล้าน “อรรถวิชช์” สับหวังหลีกเลี่ยงระบบตรวจสอบ ปัดศาล รธน.ทำพัฒนาชาติสะดุด ชี้รัฐมีเจตนาเลวตั้งแต่แรก







วันนี้ (13 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ขอขยายเวลาชี้แจงกรณีทุจริตจำนำข้าวต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นการปฏิเสธให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. เพราะหากมั่นใจว่าชี้แจงได้ทุกประเด็นก็สามารถตอบคำถามได้หากเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ที่ขอขยายเวลาไปเรื่อยๆ เพราะตอบคำถามไม่ได้ และเป็นการเปิดแผลการทุจริตคอร์รัปชันครั้งประวัติศาสตร์ชาติไทย นอกจากนี้ยังมีความจงใจที่จะหลีกเลี่ยงการให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช.ที่กำหนดในวันที่ 14 มี.ค. 57 โดยมีการกำหนดภารกิจในต่างจังหวัดล่วงหน้าวันที่ 13-16 มี.ค. เพราะไม่ให้ความสำคัญกับองค์กรอิสระ อีกทั้งโครงการนี้ยังมีปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายเงินยืมงบฉุกเฉิน 2 หมื่นล้านบาท มาจ่ายจำนำข้าวโดยต้องใช้คืนภายในวันที่ 31 พ.ค. 57 ก็เชื่อว่าจะมีปัญหาในอนาคต

นายชวนนท์กล่าวแสดงความชื่นชมกรณีที่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศออกจดหมายเปิดผนึกปกป้องผลประโยชน์ของประเทศกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ พยายามจะดึงเลขาธิการสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย โดยระบุว่าจะเป็นผลเสียต่อประเทศไทยในระยะยาวเพราะไทยต้องสร้างพันธกรณีใหม่ผูกพันรัฐบาลอนาคต ส่งผลกระทบให้ต่างประเทศเข้ามามีบทบาทกำหนดนโยบายกิจการภายในของไทยได้

"“เท่ากับความคิดของนายสุรพงษ์ยอมขายเอกราชของไทยแลกกับการให้สหประชาชาติเข้ามาสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ซึ่งมีคนกล่าวหาว่าไม่ต่างอะไรจากการขายชาติ ผมขอขอบคุณและแสดงความนับถือหัวใจของข้าราชการที่ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ เพราะปัญหาในไทยคนไทยแก้ไขกันเองได้โดยไม่จำเป็นต้องให้ต่างประเทศเข้ามาแทรกแซง” นายชวนนท์กล่าว

นายชวนนท์ยังกล่าวถึงคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ระบุอย่าใช้กฎหมายลิดรอนสิทธิ ขอให้ดูที่เจตนา หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทขัดต่อรัฐธรรมนูญว่า กฎหมายลิดรอนสิทธิคนชั่วเท่านั้น แสดงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จงใจละเมิดกฎหมายและโจมตีกฎหมายในประเทศว่าเป็นเครื่องมือขัดขวางลิดรอนสิทธิของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นคำพูดที่ต้องถอน เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำลายระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และยังทำลายระบบคุณธรรมอย่างยับเยิน เมื่อระบุว่ากฎหมายเป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอาย เพราะต่างชาติจะต้องตั้งคำถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีจริยธรรมและหลักในการทำงานอย่างไร เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำ คือ การขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อกฎหมาย ตนขอเรียกร้องความรับผิดชอบจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังนี้ 1. กรณี ส.ส.เพื่อไทยกดบัตรแทนกัน จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร 2. น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้ลงนามเสนอกฎหมายเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทฯ ที่จงใจทำผิดรัฐธรรมนูญ จะรับผิดชอบอย่างไร เพราะนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ ระบุว่า ถ้าเป็นนายกฯ ปกติจะต้องลาออก แต่ตอนนี้แค่ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไม่ต้องลาออก

นายชวนนท์กล่าวว่า 3. โอกาสในการพัฒนาประเทศที่สูญเสียไปจากความพยายามเดินหน้าเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามระบบงบประมาณ จะรับผิดชอบอย่างไร เพราะหากดำเนินการตามระบบปกติสามารถเดินหน้าได้ แต่ประเทศต้องสูญเสียโอกาสไปกว่า 2 ปี เพราะความละโมบโลภมากของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ต้องการเหมารวมโครงการ หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จึงอยากให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลัง รวมทั้งนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ต้องทำความเข้าใจด้วย และ 4. จะรับผิดชอบอย่างไรกับเงินงบประมาณ 200 ล้านในการประชาสัมพันธ์ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่เป็นโมฆะ

ด้าน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับกรณีนี้จากการกระทำความผิดในหลายวาระ ทั้งการเซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท จำนวน 240 ล้านบาทในการโรดโชว์ตามต่างจังหวัดว่า สำนักเลขาธิการนายกฯ และสำนักปลัดฯ ต้องรับผิดชอบและจะมีการดำเนินคดีอาญาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย เพราะเงินสองก้อนที่จ้างสื่อมวลชนบางสังกัด สังกัดละ 100 ล้านบาทเพื่อประชาสัมพันธ์ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น เป็นเรื่องที่ทีมกฎหมายกำลังพิจารณาจะดำเนินคดีอาญาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างไร เพราะมีการดำเนินการต่อเนื่องแม้จะมีการส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วแต่ก็ไม่มีการระงับแผน ทำให้รัฐเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น ผู้ที่เซ็นอนุมัติงบประมาณคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วย นอกจากนี้ยังเห็นว่าเป็นการอนุมัติงบประมาณที่ขัดต่อระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ และไม่มีการยับยั้งการกระทำผิดทั้งที่มีการฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

ขณะที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวจับโกหก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับการทำผิดรัฐธรรมนูญในการออกกฎหมายเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่า มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงระบบตรวจสอบทั้งที่อยู่ในระบบงบประมาณได้ แต่ต้องการหลีกเลี่ยงการจัดซื้อจัดจ้างตามปกติ เพราะเมื่อออกกฎหมายเงินกู้จะมีระเบียบต่างหาก จึงเป็นเจตนาเลวแต่ต้น เพราะงบปี 2557 ขาดดุลที่ 2.5 แสนล้านบาท ทั้งที่ตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะและ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณสามารถขาดดุลได้ที่ 5.4 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลเลือกขาดดุลที่ 2.5 แสนล้านบาท ขณะที่เงินก้อนแรกที่จะใช้อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท จึงสามารถจัดในงบปกติได้ นอกจากนี้ยังมีการโกหกว่าถ้าอยู่ในงบประมาณจะทำให้ต่างชาติไม่เชือมั่นก็ไม่เป็นความจริงพราะสามารถทำงบประมาณผูกพันได้ตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ซึ่งโครงการเงินกู้สองล้านล้านของรัฐบาลใช้เวลาถึง 7 ปี สามารถทำงบผูกพันได้

นายอรรถวิชช์กล่าวด้วยว่า ที่อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญทำให้โอกาสในการพัฒนาประเทศสะดุดลงนั้นไม่เป็นความจริงแต่เป็นเพราะรัฐบาลมีเจตนาที่เลวมาตั้งแต่ต้น เพราะแม้ว่า พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทจะไม่ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินการกู้เงินก้อนแรกได้ โดยพิจารณาได้จากแผนการก่อหนี้สาธารณะประจำปี 2557 โดย ครม.มีมติเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 57 ตัดเม็ดเงิน 1.2 แสนล้านบาทของโครงการเงินกู้ออกแล้วนำเงินที่ต้องใช้จ่ายหนี้จำนำข้าว 1.3 แสนล้านเข้าไปแทน เพราะถังแตก ดังนั้นการกู้เงินทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลบริหารห่วยทำให้เกิดความเสียหาย ไม่ได้เกิดจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติว่ากฎหมายกู้เงินได้ รัฐบาลก็กู้ไม่ได้อยู่ดี เพราะมีการนำยอดเงินออกจากแผนบริหารหนี้สาธารณะในปี 2557 ไปแล้ว

“โครงการรถไฟความเร็วสูงมีปัญหา เฉพาะราคาต่อกิโลเมตรสูงกว่าความจริงทุกรายการ ไม่ให้ความสำคัญในเส้นทางจำเป็น เช่น กทม.-หนองคาย แต่ให้ความสำคัญกับเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ ทำให้ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน มีภาระดอกเบี้ยราว 4 หมื่นล้านต่อปี สูงกว่างบสำหรับการสร้างโรงพยาบาลที่รัฐบาลจัดสรรไว้ จึงเป็นบุญของประเทศที่กฎหมายนี้ไม่ผ่าน แต่ประชาชนไม่ต้องเสียดาย เพราะการพัฒนาประเทศสามารถดำเนินการได้ตามระบบงบประมาณปกติ และสามารถออกงบเพิ่มเติมได้หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ” นายอรรถวิชช์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น