นายกฯ โบ้ยเฉย หาข้อ กม.ไล่ล่าทุกวัน หาความสงบอย่างไร มามุกเดิมขอศึกษาศาลชี้กู้ขัด รธน. สื่อขี้ข้าชงคำถามเชลียร์ ก่อนอ้อนขอความเห็นใจ อย่าใช้องค์กรต่างๆ เป็นเครื่องมือ แบ่งที่ให้ยืนบ้าง ไม่อยากแตกแยก ยกคำ “ห้ำหัน” ถี่ วอนอย่าใช้การเมืองมุ่งชนะ อ้างคนถูกรังแกต้องสู้ แนะเมตตา ยันไม่ท้อ ต่อมน้ำตาทำงานเจอจี้คนเกลียดตระกูลชินฯ ติง กปปส.ล้มประมูลข้าว ตีบทแตกบอกให้มาลงที่ รบ.อย่าลงที่ชาวนา แขวะม็อบถูกกติกาอยู่ไม่ได้
วันนี้ (13 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.40 น. ที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น จ.ขอนแก่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ล่ารายชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทขัดต่อรัฐธรรมนูญว่า มองว่าเราอาศัยใช้ข้อกฎหมายไล่ล่ากันทุกวัน แล้วเราจะหาความสงบในบ้านเมืองนี้ได้อย่างไร ซึ่งเมื่อศาลตัดสินแล้วเราก็ต้องพร้อมที่จะเอาไปปรับ เป็นขั้นตอนแต่ละฝ่ายที่ต้องไปดำเนินการ คงไม่สามารถไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชน
เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อกรณีปัญหาที่เกิดขึ้น นายกฯ ตอบว่า คงต้องไปศึกษาในกรณีอื่นๆ ด้วย หลังจากที่รัฐบาลได้รับฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเอกสารที่เป็นทางการ ได้มอบหมายให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมายหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
เมื่อถามว่า มองหรือไม่ว่าวันนี้รัฐบาลไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหลายๆ ฝ่ายโดยเฉพาะองค์กรอิสระ นายกฯ กล่าวว่า ขอใช้คำว่าขอความเห็นใจ หลายคนก็มีความตั้งใจ ตนก็ไม่ได้บอกว่า การที่เราขอความเห็นใจแล้วเราไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายอันนี้คนละประเด็นกัน
“เราอย่าใช้กฎหมาย หรือใช้องค์กรมาทำงานเพื่อเรา จะเรียกว่าเราตัดสิทธิห้ำหั่นกันไปคนละข้างกันเลย เราเพิ่งผ่านพ้นสิ่งที่เราพูดว่าเราไม่อยากเห็นความรุนแรงของการปฏิวัติ แต่เราก็ไม่อยากเห็นการที่เราใช้กฎหมาย หรือใช้องค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้คำตอบต่างๆ แต่จริงๆ แล้วคำตอบที่เราควรจะได้คือ ความสามัคคีของคนไทย การที่เราจะหาจุดหลักความสมดุลที่จะอยู่ร่วมกัน ถ้าบอกว่าต่างฝ่ายต่างบอกว่าแพ้ แล้วเราก็รุมกัน ในการที่จะห้ำหันกันไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่งเราคงอยู่กันลำบาก แต่ถ้าเรารู้จักการที่บอกว่าเหลือพื้นที่ให้กับทุกคนในสังคมได้อยู่เถอะ เพราะสุดท้ายเราก็คือคนไทยด้วยกัน เราต้องมองหน้า อยู่ในประเทศไทยด้วยกัน เราอยากเห็นทุกคนในสังคมไทยเดินไปไหนด้วยกันได้ ถามว่าเรามีการโต้แย้งความคิดเห็นต่าง ดิฉันก็เคารพในความคิดเห็นต่าง แต่เรามองว่าความเห็นต่างนั้นเป็นความเห็นต่างที่เราอยู่ด้วยกันในสังคมได้ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถมองหน้ากันในสังคมได้เลย จากคนที่ไม่เคยรู้จักกัน สามารถที่จะโกรธเกลียดกันได้ขนาดนี้ และนี่คือสิ่งที่รู้สึกในความเศร้าใจของสังคม เราไม่อยากเห็นการแตกพวกแตกกลุ่ม ต่างคนต่างแตก เราคือคนไทยด้วยกัน มีพื้นที่ให้กับคนไทยทุกคนอยู่” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า คิดว่าการเมืองเล่นกันรุนแรงไปหรือไม่ จนไม่คิดถึงอนาคตของประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เราอย่าใช้การเมืองหรือเครื่องมือต่างๆ เป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดการเอาชนะซึ่งกันและกัน เราน่าจะใช้เครื่องมือทางการเมืองให้เกิดความสามัคคี การอยู่ร่วมกันในสังคมให้ได้ สร้างสมดุลของกระบวนการตรวจสอบการทำงาน แต่อย่าสร้างสมดุลด้วยการห้ำหั่นจนไม่มีที่อยู่ ซึ่งคนที่ถูกรังแกก็ต้องกลับมายืนสู้ ก็ไม่อยากเจอเหตุการณ์อย่างนี้ เราเจอเหตุการณ์อย่างนี้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามา 7-8 ปีแล้ว เราจะเป็นอย่างนี้กันอีกหรือ วงจรนี้ก็ไม่มีทางจบ ถ้าเราใช้หลักเมตตา เราใช้คำว่าให้อภัยกัน และใช้คำว่าเหลือพื้นที่ให้กับบางคนได้อยู่ แล้วให้กลไกต่างๆ เดินไป เราเชื่อว่าสังคมจะเป็นพื้นที่ตรวจสอบ ถ้าใครไม่ทำดีในสังคม เป็นคนที่คิดร้ายในสังคม ตนเชื่อว่าประชาชนคนไทยจะประณามเขาเอง ให้เขาอยู่ไม่ได้ในสังคมด้วยตัวเขาเอง ดีกว่าเราใช้ขบวนการต่างๆ เป็นเครื่องมือ แล้วทำให้คนแตกแยก และมีแผลลึกในใจ
เมื่อถามว่า นายกฯไม่ท้อใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ท้อ อย่าพูดคำว่าท้อหรือไม่ท้อ แต่เราพูดว่าเราต้องช่วยกัน ต้องใช้ความพยายามด้วยกัน ไม่อยากให้ทุกคนลดความพยายาม และทำให้สังคมไทยสงบไม่ได้ เราต้องไม่ลดความพยายามที่จะทำให้สันติภาพ เกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อถามว่าเคยตั้งข้อสังเกตหรือไม่ คนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลถึงได้เกลียดชังคนตระกูลชินวัตรเหลือเกิน นายกฯ หยุดไปสักครู่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและตาแดงว่า “คงต้องถามคนถามด้วยมั้งคะ คงไม่ขอตอบ เชื่อว่าสังคมที่อยู่คนไทยจะเป็นคนพิจารณา ตระกูลชินวัตรเป็นอย่างนี้เชียวหรือ คิดว่าเราอย่าพูดกันอย่างนี้เลย เราพูดกันอย่างนี้ เดี๋ยวก็มีตระกูลนั้นตระกูลนี้ แล้วคุณะจะไม่ให้คนไทยอยู่ด้วยกันแลัวหรือ คุณจะเป็นอย่างนี้กันแล้วหรือ นี่คือสิ่งที่ต้องถาม”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะที่รัฐบาลกำลังหาเงินจ่ายให้กับชาวนา แต่ม็อบ กปปส.ก็ไปปิดล้อม จนต้องล้มการประมูลข้าว จะส่งผลเสียหายอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเราบอกว่าเรารักเราสงสารชาวนา ทำไมเราไม่แยกกระบวนการความเห็นต่าง ความคิดเห็นทางการเมืองออกไป แล้วบอกว่าทุกคนมุ่งเป้าในการช่วยกันแก้ให้ชาวนา ถามว่าที่ผ่านมาหลายคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับโครงการรัฐบาล เราก็มีกลไกของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ตรวจสอบรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องเอากลไกนี้มาทำให้กระบวนการในการจ่ายเงินของชาวนาถูกลิดรอนไป เราถูกเรียกร้อง ขัดขวางตั้งแต่กระบวนการในเรื่องที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำงาน และธนาคารรัฐทุกธนาคารในการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง เราไม่ได้รับความร่วมมือ เราไม่สามารถเดินได้ เราก็เดินหน้าในการระบายข้าว
ขณะนี้กระบวนการต่างๆ ในการระบายข้าวก็เป็นกระบวนการเปิดประมูลอย่างถูกต้อง แต่ก็ถูกขัดขวาง แล้วอย่างนี้ชาวนาจะได้เงินได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งกระบวนการในการฟ้องร้อง ถ้ามีการฟ้องร้องคดีตรงนั้นชาวนาจะได้เงินได้ยังไง เงินตรงนั้นก็ไม่สามารถจ่ายได้ เพราะตรงนั้นเป็นขั้นตอนของกฎหมายก็ต้องรอขั้นตอนของกฎหมายเป็นที่สิ้นสุด อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้พี่น้องชาวนาได้เงินช้าลง ทำไมเราไม่ช่วยกันบอกว่า แยกออกจากกันได้ไหม จะลงโทษรัฐบาลก็มีกระบวนการอยู่แล้ว แต่อย่าลงโทษชาวนาเลย อย่าเอารัฐบาลมาทำให้ชาวนาเดือดร้อน หลายท่านอาจบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่มีความเชื่อมั่น เปลี่ยนรัฐบาลอื่น แต่ตนเชื่อว่าทุกรัฐบาลก็ต้องทำกระบวนการนี้ แต่ทำไมต้องให้กระบวนการนี้เกิดความล่าช้า แล้วเดินหน้าไม่ได้ แล้วชาวนาเดือดร้อน
เมื่อถามว่า วันนี้การชุมนุมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นประเทศมากแล้ว คิดว่าควรมีอะไรที่เด็ดขาด นายกฯ กล่าวว่า ความเด็ดขาดนี้ถามว่าเราได้อะไร ความเด็ดขาดมี 2 อย่าง เรื่องแรก คือ การใช้กำลัง เรื่องที่ 2 การบังคับใช้กฎหมาย แล้ววันนี้มีคำตอบหรือเปล่า การใช้กำลังก็ไม่ได้เกิดผลดีกับประเทศไทย การใช้กฎหมายห้ำหั่นก็ไม่ได้เป็นผลดี และวันนี้คนก็ไม่ได้เกรงกลัวกฎหมายกันแล้ว การที่ทำถูกกติกาไม่สามารถอยู่ได้ การที่คนนอกกติกาสามารถอยู่ได้และเราจะเดินหน้าในสังคมอย่างไร การที่ทำถูกกติกาแล้วเราจะเดินหน้าในสังคมอย่างไร