รายงานการเมือง
เมื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส.ตัดสินใจปรับกลยุทธ์การเคลื่อนไหวอีกครั้ง มาคราวนี้เลือกผละตัวเองจากการแรลลี่รอบเมืองที่ปั่นเรตติ้ง “มวลมหาประชาชน” จนฮอตฮิตติดลมบน บ่ายหน้าเข้า “ห้องสมุด” หยิบจับประเด็นปฏิรูปประเทศแบบเต็มสูบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “รีสตาร์ทไทยแลนด์”
โดยก่อนหน้านี้กระบวนการจัดเตรียมประเด็นปฏิรูปประเทศนั้นถูกจุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นเพียงการขับเคลื่อนคู่ขนานไปกีบอีเวนต์บดขยี้ไล่บี้รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ “กำนันสุเทพ” และพลพรรค จัดขึ้นตลอด 4 เดือนกว่าที่ผ่านมาตามบริบทสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ มาถึงตอนนี้ด้วยทิศทางลมที่เป็นใจ การเลือกตั้งไม่สมประกอบ โอกาสเปิดสภาฯเพื่อเลือกนายกฯ คนใหม่มาสืบทอดอำนาจเผด็จการผ่านรัฐสภาก็ดูมืดมน ในอารมณ์ที่การปลุกเร้าประเด็นต่างๆ ก็ทรงๆ นิ่งๆ เหมือนรอคอยให้ถึงวัน “มะม่วงหล่น” ด้วยคดีความของ “ยิ่งลักษณ์-สมุน” ที่ยาวเป็นหางว่าว และกองพะเนินเทินทึกอยู่ในชั้นองค์กรอิสระ
กปปส.โดย “กำนันสุเทพ” จึงเลือกที่จะออมแรง รอให้ถึงจังหวะเหมาะค่อยมาปลุกระดมเชิญแขกให้ออกมาแสดงพลังมวลมหาประชาชนร่วมกัน การหันมาประกาศเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศ” กำหนดแนวทางชัดเจนเป็นรูปธรรมกว่าครั้งก่อน เสมือนโยนหินถามทาง “ระบอบทักษิณ” จะหยุดเกมนี้ในรูปแบบใด
การ “ปฏิรูปประเทศไทย” ตามสูตรของ “กำนันสุเทพ” ขอเวลา 1 ปีครึ่ง - 2 ปี เพื่อปฏิรูปใน 5 ด้านหลัก คือ
1. ปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้ง ให้เป็นการเลือกตั้งโดยบริสุทธิ์ ยุติธรรม โดยการแก้กฎหมายเลือกตั้ง กฏหมายพรรคการเมือง และกฎหมายคณะกรรมการเลือกตั้ง
2. ปฏิรูปกฏหมายการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น คดีคอร์รัปชันต้องไม่มีอายุความ และให้ประชาชนเป็นผู้เสียหายสามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลได้
3. คืนอำนาจให้ประชาชน ให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และให้ประชาชนสามารถตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการได้กว้างขวางมากขึ้น
4. แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้คนจนมีโอกาสในสังคม ไม่ใช่ใช้นโยบายประชานิยม
5. ปรับโครงสร้างตำรวจ ให้ตำรวจอยู่ภายใต้คณะกรรมการตำรวจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
จากนั้นค่อยกลับเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง พร้อมกับยืนยันว่าจะดำเนินการทุกอย่าง เพื่อไม่ให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 57 เกิดขึ้น เพราะไม่มีประโยชน์ใดๆ กับสังคมไทย และเหล่าแกนนำ กปปส.ก็พิสูจน์ได้ว่า คำประกาศครั้งนี้ไม่ใช่แค่ราคาคุย แต่กลับสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการเมืองไทยครั้งใหม่ได้อย่างไม่ยาก เมื่อการเลือกตั้งล้มอย่างไม่เป็นท่า ทำเอาประเทศไทยยังตกอยู่ในเหวน้ำแข็งเช่นทุกวัน
กว่า 1 เดือนที่ผ่านมาจากวันเลือกตั้ง กปปส.ก็ยังหาทางลงที่จะสร้างการปฏิรูปที่เป็นธรรมไม่ได้ เนื่องจากแนวทางที่นายสุเทพและคณะกำหนดขึ้นมานั้น บางเรื่องยังเป็นเรื่องที่กว้างและใหญ่เกินกว่าที่ระบอบการปกครองของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้แบบฉับพลัน เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด ก็ยังคงต้องใช้งบประมาณและการเสริมสร้างความรู้ให้กับประชาชนในแต่ละจังหวัดมากขึ้นอีกไม่น้อย ทำให้แบบการปฏิรูปในช่วงที่กลุ่ม กปปส.ชุมนุมอยู่บริเวณแยกปทุมวันมีอันต้องพับแผนเหล่านั้นไว้ใต้เวที เพราะการจัดเสวนาแต่ละครั้งก็ไม่ค่อยจะได้รับความสนใจจากมวลมหาประชาชนมากนัก ก็อย่างที่ว่า คนเรามักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ไกลตัว หรือไม่สร้างผลประโยชน์ทางตรงมากนัก
กปปส.จึงถือฤกษ์ใหญ่กับสถานที่ชุมนุมอันรื่นรมย์อย่าง “สวนลุมพินี” เป็นจุดเปิดการปฏิรูปครั้งใหม่ ที่ยิ่งใหญ่และมีความเป็นไปได้มากกว่าเดิม ภายใต้ชื่อ “มวลมหาประชาชนเดินหน้าเปลี่ยนประเทศ” หรือ “รีสตาร์ทไทยแลนด์ปฏิรูปประเทศไทย” ที่ศูนย์เยาวชน สวนลุมพินี โดยในเวทีวิชาที่จะมีการระดมความคิดเห็นเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ เป็นประเด็นแรกที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อหาทางแก้ไข
อย่างที่รู้กันว่าปัญหาเรื่องความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ตกเป็นเป้าโจมตีระบอบทักษิณอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีล่าสุด อย่างการโกงชาวนาที่ถือเป็นชนชั้นรากหญ้า แต่รัฐบาลยังทำได้ลง จึงไม่แปลกใจที่การเปิดเสวนาวันแรกของ กปปส.ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างล้มหลามเต็มศูนย์เยาวชนทีเดียว
ส่วนกระบวนการปฏิรูปประเทศที่ กปปส.นำมาใช้ในครั้งนี้ก็ดูจะเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้เพราะการเสวนาที่เกิดขึ้นจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ เวทีภาควิชาการ เวทีสมัชชาประชาชน และสภาประชาชนกับรัฐบาลประชาชน เมื่อขั้นตอน 2 เวทีแรกแล้วเสร็จ จะนำข้อสรุปทั้งหมดเข้าสู่สภาประชาชน
ซึ่ง กปปส.จะจัดเวทีระดมความคิดเห็น 6 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 10-21 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเน้นที่ 6 หัวข้อหลัก คือ 1. แก้ความยากจน 2. แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน 3. การกระจายอำนาจ 4. การปรับโครงสร้างตำรวจกระบวนการยุติธรรม 5.ปฏิรูปการเลือกตั้งและพรรคการเมือง 6. การปรับระบบราชการ การระดมความเห็นในวันนี้จะเป็นการเปิดเวทีปฏิรูปด้วยการให้นักวิชาการ ที่มีความรู้และประสบการณ์ นำเสนองานวิจัย ผลการศึกษา ประสบการณ์ และความคิด ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถรับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็นได้ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดส่งต่อให้เวทีสมัชชาปฏิรูป ที่มีประชาชนทั่วประเทศแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมอย่างเต็มรูปแบบ
การเดินหน้าของ กปปส.ในวันนี้ เริ่มใกล้เคียงกับการสร้าง “พิมพ์เขียว” อีกระดับหนึ่ง แม้ช่วงแรกๆ สังคมมองว่า “กำนันสุเทพ” ประกาศแนวทางปฏิรูป 5 ข้อ เพื่อเป็นเหตุผลในการยืดเวลาของการชุมนุมเท่านั้น แต่มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่า ถ้า กปปส.ทำได้จริงอย่างที่คุยๆ เอาไว้ ประชาชนจะมีส่วนรวมในการแก้ไขปัญหาให้กับตนเองอย่างชัดเจน โดยที่ได้ออกมาความคิดและสะท้อนปัญหาอย่างชัดเจนมากขึ้นอีกโข
จากนี้ไปคงต้องโยนหินถามทางกลับไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และครอบครัวชินวัตรทุกคนว่าจะเปิดใจยอมรับในแนวทางแก้ปัญหาของมวลชนบ้างหรือไม่ หรือจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างกับเก้าอี้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการต่อไป และปล่อยให้ประเทศจ่มลงในมหาสมุทรที่เย็นเฉียบ ประดุจถูกแช่แข็งเช่นนี้
เมื่อถึงเวลานั้นระบอบทักษิณจะคิดเสียดายอำนาจว่างเปล่าที่ตัวเองกำอยู่ในมือ