รอง หน.ปชป.สวน รองนายกฯ อ้างทำตามศาล ปค.ให้คืนตำแหน่งเลขาฯสมช.“ถวิล” ใน 45 วันไม่ได้ จงใจยื้อเวลา ท้าทายศาล ตอกทีตอนย้ายทำอย่างเร็ว เพื่อเปิดทาง “เพรียวพันธ์” ขึ้นนั่ง ผบ.ตร.บี้ คืนความเป็นธรรมด่วน เปรียบ รัฐ นายกฯ เลือกตั้ง พิการ ชาติสะดุด จี้ นายกฯ เลิกขวางทางออกชาติ ไม่เลิกให้จูงจมูกมีแต่ทางตัน ฉะ “นพดล” นายใหญ่ จอมต่อรอง หวังได้เปรียบการเมือง ไม่คำนึงชาติ เชื่อ รัฐ เร่งเจรจา หลังเสียท่าการเมือง
วันนี้ (9 มี.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งนายถวิล เปลี่ยนศรี ภายใน 45 วัน แต่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ กลับออกมาระบุว่าศาลไม่สามารถบังคับให้ต้องทำภายใน 45 วัน หากกระบวนการทางกฎหมายดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เป็นเรื่องที่แสดงถึงการท้าทายอำนาจศาล ทั้งที่ควรจะต้องเคารพการตัดสินของศาลปกครอง ส่วนที่อ้างว่าเวลา 45 วันไม่เพียงพอที่จะคืนตำแหน่งให้นายถวิลนั้น อยากให้ทบทวนดูตอนที่รัฐบาลเอานายถวิลออกจากตำแหน่งใช้เวลากี่วัน ตอนนั้นรัฐบาลมุ่งหวังจะเอา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ มาเป็น ผบ.ตร.โดยเอา พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่งจึงต้องหาตำแหน่งระดับเดียวกันด้วยการโยกนายถวิลออกให้ พล.ต.อ.วิเชียร ไปเป็นเลขา สมช.เปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็น ผบ.ตร.โดยใช้เวลาไม่นาน แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งภายใน 45 วัน กลับบอกว่าไม่ทันเป็นข้ออ้างพยายามที่จะยื้อไม่ให้นายถวิลกลับมาทำหน้าที่เลขา สมช.ได้มากกว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง จึงขอเรียกร้องไปยังนายกฯในฐานะเป็นผู้บริหารสูงสุด ควรปล่อยให้การดำเนินการเรื่องนี้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครอง แทนที่จะยื้อเวลา และควรสำนึกว่าได้ใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบทำให้การดำรงตำแหน่งเลขาสมช.ของนายถวิลไม่ได้รับความเป็นธรรมมาแล้ว
“อยากให้นายกฯเลิกใช้กระบวนการยื้อเวลามาทำให้ความไม่เป็นธรรมยังคงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป แต่ต้องคืนความเป็นธรรมให้นายถิลตามคำพิพากษาของศาลปกครอง” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายองอาจ ยังเปรียบเทียบสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่ากำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะพิกลพิการ แต่นายกไม่รู้รู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยให้สถานการณ์เดินหน้าสู่ความพิการคือ 1.รัฐบาลพิการ โดยจะเห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะให้วินิจฉัยการกระทำ หรืองดเว้นการกระทำที่ให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญโดยไม่สามารถเปิดประชุมสภาและเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งรัฐบาลมีแนวโน้มจะอยู่ในลักษณะพิกลพิการไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้อีกต่อไป 2.นายกฯ พิการ เกิดจาก ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบโครงการทุจริตจำนำข้าวหากถูกชี้มูลจะกลายเป็นนายกฯที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ สถานะของนางสาวยิ่งลักษณ์ แม้จะยังเป็นนายกฯแต่อยู่ในสภาพพิการดำเนินการอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น 3.การเลือกตั้งที่พิการ จากการที่รัฐบาลยุบสภาให้มีการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 มีแนวโน้มเป็นการเลือกตั้งที่โมฆะ พิการ เพราะการดำเนินการเลือกตั้งในวันดังกล่าวเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน หากยังดำเนินการเลือกตั้งต่อไปก็มีเหตุผลหลายประการที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับ
“สถานะความพิกลพิกาล 3 ประการนี้ จะยุติได้ขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำของนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ กลับปล่อยให้บ้านเมืองเดินหน้าเข้าสู่ความพิการ โดยที่ไม่พยายามแสวงหาทางออกให้กับชาติ แม้ปากจะบอกว่าพยายามหาทางออกแต่ความจริง คือเป็นทางออกของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีมากกว่าแสวงหาทางออกเพื่อส่วนรวม ถ้ายังมีจิตสำนึกในความเป็นคนไทย และนายกฯอย่าปล่อยให้สถานการณ์อย่างนี้ดำรงอยู่อีกต่อไป แต่ต้องตัดสินใจให้ประเทศชาติเดินหน้าเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม” นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวยังกล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ออกมาวิจารณ์คำสัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมามีการเจรจาเพื่อหาทางออกในหลายระดับ โดยอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยยื่นเงื่อนไขเจรจากับฝ่ายตรงกันข้าม และระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เจรจากับนายอภิสิทธิ์ เพราะไม่มีน้ำหนักใดๆ นั้น ตนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้อยู่แก่ใจเองดีว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นเงื่อนไขเจรจาอะไรกับใครหรือไม่ อย่างไร เพราะพฤติกรรมจากอดีตถึงปัจจุบันเมื่อคิดว่าเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองจะมีเงื่อนไขเปิดการเจรจา หรือเงื่อนไขที่จะทำให้ตนเองหลุดพ้นความเสียเปรียบทางการเมือง แต่ถ้าคิดว่าได้เปรียบทางการเมืองก็จะล้มการเจรจาด้วยการเบี่ยงเบนประเด็น เปลี่ยนรูปแบบ วิธีการเจรจา มีการยื่นเงื่อนไขให้ตัวเองคงความได้เปรียบต่อไป
“นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่สามารถเจรจากับนักโทษหนีคดีได้ ที่สำคัญตลอดเวลาที่ผ่านมาถ้าได้ทบทวนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมเชื่อว่าคนที่พร้อมเจรจาเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองคือนายอภิสิทธิ์ ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อคลี่คลายปัญหาบ้านเมือง ในปี 53 ก็เจรจากับบุคคลที่มีส่วนทำให้ปัญหายุติลงโดยไม่คำนึงว่าจะมีน้ำหนักหรือไม่ แต่คำนึงถึงประโยชน์สุขของบ้านเมือง มากกว่าคำนึงถึงหน้าตาและความรู้สึกส่วนตัว แต่คำนึงถึงความรู้สึกสวนรวมมากกว่า วันนี้ถึงแม้ตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกมาพูดอย่างไรก็ตาม ในอยาคตอันใกล้นี้เมื่อรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองก็เชื่อมั่นว่านรัฐบาลพยายามที่จะหาหนทางในการเจรจาซึ่งต้องไม่ทำตัวเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เช่นนี้นการเจรจาก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์สุขของบ้านเมือง” นายองอาจ กล่าว