“ผบ.ทบ.” เปิดสนามมวยลุมพินีแห่งใหม่ ไม่ดีใจติดโผนั่งนายกฯ โยน “ยิ่งลักษณ์-สุเทพ” คุยกันถ้าเงื่อนไขปรับได้ก็คุยได้ เร่งสอบยิงเอ็ม 79 ยันไม่ได้มาจากทหาร โอ่มีอำนาจสั่งผู้ว่าฯ จับตาชุมนุมฝ่าฝืน กม. ระบุพวกไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมปัญหาใหญ่ ป้องศาลตัดสินตามหลักฐานตั้งธงล่วงหน้าไม่ได้ สวนเอียงหา กปปส.ตรงไหน ไล่ปมอยู่ที่ไหนใครรับผิดชอบก็แก้กัน ขู่พวกบึ้มระวังตัวไว้ให้ดี ลั่นไม่ยอมแบ่งประเทศแต่ชี้แดงพูดยังแค่กบฏน้ำลาย เชื่อไม่มีสงครามกลางเมืองแต่อย่าไปเร่งไฟ ไม่สัญญามีปฏิวัติหรือไม่ แย้มถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ
วันนี้ (28 ก.พ.) ที่สนามมวยลุมพีนี รามอินทรา เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดเวทีมวยลุมพีนีแห่งใหม่ ถึงกระแสข่าวที่มีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองว่า อย่าไปพูดถึง ยังไม่ไปถึงตรงนั้น เมื่อถามว่ารู้สึกดีใจหรือไม่ที่เป็นที่ชื่นชมของประชาชนจนมีชื่อติดหนึ่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนกลาง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมคงไปดีใจหรือเสียใจไม่ได้ เพราะวันนี้สถานการณ์ตึงเครียดและคงจะไม่มีความสุขกันเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ รวมถึงประชาชนทั่วไป ทุกคนเป็นห่วงสถานการณ์ จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายมีสติในการแก้ไขปัญหา”
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ต้องการให้มีการเจรจากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยถ่ายทอดสด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของท่านสองคนที่จะต้องคุยกัน และวันนี้ก็มีหลายฝ่ายมาเสนอหลายทาง รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ที่อยากจะเข้าร่วมด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นขั้นตอน ส่วนกองทัพจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ แต่วันนี้เราอยู่ในฐานะบทบาทของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัยและรักษาสถานการณ์ความมั่นคงโดยรวมของประเทศ ส่วนนายกรัฐมนตรีที่มีเงื่อนไขให้ยุติการชุมนุม และให้มีการเลือกตั้งก่อนคุยมีการเปิดโต๊ะคุยกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคู่เจรจา ซึ่งเป็นเงื่อนไขทุกภารกิจที่มีความขัดแย้งต่างฝ่ายต่างมีข้อเสนอของตนเอง แต่ถ้าหากปรับกันได้ก็คงจะลดราวาศอกกันไปเอง และคงจะพูดคุยกันได้บ้าง ซึ่งคงจะไม่ยุติภายในวันเดียว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการใช้เอ็ม 79 ก่อเหตุเป็นจำนวนมาก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ แต่คงจะไม่ได้มาจากหน่วยทหาร เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพจะต้องอยู่ในคลัง และมีการตรวจเช็กกันทุกวัน ซึ่งการใช้อาวุธเอ็ม 79 ขณะนี้เป็นการลักลอบเข้ามามากกว่า เพราะในห้วงที่ผ่านมามีการจับกุมการลักลอบอาวุธสงครามได้ตลอด พอมีการชุมนุมทางการเมืองก็นำมาใช้ ซึ่งพวกนี้ไม่ค่อยมีจิตใจเป็นมนุษย์ เพราะเอ็ม 79 เอาไว้ใช้ในยามสงครามต่อสู้กับอริราชศัตรู แต่เอามายิงประชาชน ทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา เสียชีวิตมากมาย เป็นสิ่งที่ต้องประณาม คนเหล่านี้จิตใจมันไม่ใช่มนุษย์ และหากจับกุมได้จะต้องถูกดำเนินคดีในสถานหนัก
เมื่อถามถึงกรณีมีที่มีคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามสถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่แต่ละจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจในฐานะที่เป็นรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) และตนได้นำเรียนให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ในคำสั่งไม่ได้ให้จับตาใครเป็นพิเศษแต่ให้ดูแลทุกกลุ่มที่ฝ่าฝืนกฎหมายความมั่นคง และการพูดจาก็กำลังดูอยู่ว่า สิ่งไหนผิด บางอย่างต้องเข้าใจว่าเป็นคำพูด การกระทำยังไม่เกิด หากการกระทำที่สมบูรณ์ความผิดก็จะเกิดขึ้น และสามารถดำเนินคดีทางกฎหมายได้ ทุกอย่างเป็นเพียงคำพูดทั้งที่บอกว่า จะมีกบฏหรือการก่อการร้าย แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าทำหรือไม่ทำ
เมื่อถามว่า ถ้ามีการปลุกระดมและมีการนำคนเสื้อแดงเข้ามาใน กทม. พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า มันผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะขณะนี้มีฝ่ายหนึ่งที่ทำผิดกฎหมายและดำเนินการทางกฎหมายอยู่ และมีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาจะมาบอกว่าทางนี้เคลื่อนไหวได้ แล้วจะเคลื่อนไหวบ้างก็ผิดกันทุกกลุ่ม เมื่อมาเผชิญหน้ากันก็จะทำให้เกิดความรุนแรงและแก้ปัญหายาก วันนี้จะต้องหยุดทุกพวกทุกฝ่ายให้ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“เรื่องไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม เป็นสิ่งที่มีปัญหามาก ทั้งการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าเราไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้จะแก้ไขปัญหายาก จะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะต้องไปพิสูจน์ทราบกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องมีพูดคุยกัน ให้โอกาสในการสู้คดี ถ้ามองว่าไม่ยุติธรรมทุกอย่างก็จบ แล้วจะมีกระบวนการยุติธรรมไว้ทำไม ศาลพิจารณาคดีหลายเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง ถ้ามองว่าไม่ยุติธรรมคดีอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็มาร้องเรียนกันหมด ศาลตัดสินทุกคดีทุกคดีตามหลักฐาน ใครจะมาบอกว่ามีการตั้งธงไว้ล่วงหน้า ผมคิดว่าทำไม่ได้และในฐานะที่ผมเป็นองค์กรหนึ่งที่จะไม่ก้าวล่วงศาลและกระบวนการยุติธรรม เรื่องความไม่เป็นธรรม ทุกคนสามารถคิดได้แต่ต้องเคารพกัน และต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐาน หากหลักฐานชัดเจนก็เถียงไม่ได้” ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายมองว่าทหารเอียงเอนไปทางผู้ชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า เอียงตรงไหน ถ้าเอียงก็ไปอยู่กับผู้ชุมนุมแล้ว ที่ส่งทหารไปอยู่ไม่ได้ไปอยู่ในม็อบ แต่อยู่ในพื้นที่รอบนอก เพื่อดูแลประชาชนทุกคน หากมีอันตรายมีการใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปประชาชนก็จะได้รับบาดเจ็บสูญเสีย จะเป็น กปปส.หรือ นปช.ก็คนไทยด้วยกัน
“ปัญหาอยู่ที่ว่าความขัดแย้งอยู่ที่ไหน และใครเป็นผู้รับผิดชอบก็ไปแก้กัน ไม่ใช่ให้สังคมมาประณามว่าเป็นทหาร หรือตำรวจ เละเทะกันไปหมด ศาลก็เจ๊ง และถามว่าจะแก้ไขกันด้วยอะไร จะให้ผมสั่งกำลังพลทั้งสองแสนถืออาวุธและมาปราบ ผมทำไม่ได้ เพราะ 1. เป็นคนไทยด้วยกันเอง 2. ความขัดแย้งก็เป็นเรื่องของเรากันเองก็จะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง และ 3. ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องให้ทหารถืออาวุธมาปรามปราม ผมจะใช้ปฏิบัติกับกองกำลังที่ถืออาวุธ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังดำเนินการสอบสวนและประสานงานร่วมกับตำรวจหาคนที่ก่อเหตุรุนแรงซึ่งมีหลายกลุ่ม ให้ระวังตัวไว้ให้ดี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า มีทหารไปในนามส่วนตัวและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ทหารไม่มีกฎห้ามชุมนุม หากไปนอกเวลาราชการ เขามีอิสระเต็มที่ จะไปไหนก็ได้ เพียงแต่ห้ามพกอาวุธทางราชการ หากพบก็ถูกจับ และเตือนให้วางตัวให้เหมาะสม แต่ถ้าใช้เวลาราชการพกอาวุธไปด้วยถูกจับได้ก็ต้องปลดออกราชการ ซึ่งทุกกองทัพก็เป็นแบบนี้หมด ส่วนกรณีที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำลังจะครบวาระการประกาศใช้นั้น เป็นเรื่องของ ศรส.ที่จะผู้พิจารณาว่าจะใช้ต่อหรือไม่ หรือถ้าไม่ใช้ พ.ร.ก.ก็จะกลับมาใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงเหมือนเดิม ส่วนโอกาสที่จะใช้กฎอัยการศึกนั้น ก็จะต้องรอให้เกิดจลาจล ถ้าไม่เกิดก็ใช้ไม่ได้
เมื่อถามว่าได้คุยกับนายกรัฐมนตรีกรณีที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวที นปช.ประกาศในนามรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จะนำข้อเสนอการแบ่งประเทศ และให้ประชาชนจับอาวุธต่อสู้มาปฏิบัติตาม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาทำหรือยัง เป็นพวกกบฏน้ำลายทั้งนั้น ตามกฎหมายทำได้หรือไม่ ก็ทำไม่ได้ และถามว่าสื่อยอมให้มีการแบ่งแยกประเทศหรือไม่ ถ้าสื่อไม่ยอม ตนเองก็ไม่ยอม ส่วนกรณีที่มีการสวนสนามตำรวจบ้านที่ จ.พะเยา ใช้ธงชาติแดงแทนธงชาติไทยนั้น เป็นการสวนสนามของตำรวจบ้าน แต่เรื่องนี้ตนได้สอบสวน และเตือนไปหมดแล้วว่าอย่าทำอย่างนั้นอีก
เมื่อถามว่า หากเกิดสงครามกลางเมืองจะรับมืออย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คงไม่รุนแรงขนาดนั้น เพียงแต่คนไทยขี้โมโหก็เหมือนกับตน ไม่นานก็หาย แต่อย่าไปเร่งไฟจนตีกันแล้วหยุดไม่ได้เพราะมันอันตราย คนไทยเป็นคนเลือดร้อนใจเร็ว ฉะนั้นจะต้องประคับประคองและไปกันให้ได้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามกฎกติกา ทุกวันนี้ตนเอาทหารออกมา 56 กองร้อย มานอนอยู่บนถนนมันไม่ใช่น้อยๆ แล้วจะให้ทำอย่างไรอีก หากจะให้ประกาศกฎอัยการศึก ก็ใช้กฎหมายเหมือนเดิมเพียงแต่ให้ทหารมาสั่งการ ซึ่งถ้าให้ตนสั่งการก็จะต้องสั่งการให้กลับบ้านกันหมดทุกพวกแล้วจะกลับกันหรือไม่
เมื่อถามว่า ปฏิวัติรัฐประหารเลิกคิดไปเลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดกันทุกวัน ส่วนใครจะมองว่าสถานการณ์จะไปสิ้นสุดด้วยการปฏิวัติก็มองได้ อยากให้ทหารทำอะไรก็บอกว่า การปฏิวัติที่ผ่านมาเพราะมีเหตุการณ์รุนแรง ความไม่เป็นธรรม แต่ในวันนี้โลกเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประชาชนก็เปลี่ยน พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปถึงตรงนั้นเพราะเป็นเรื่องที่อันตราย และตนคงไม่สัญญาว่าการปฏิวัติจะมีหรือไม่มี แต่ก็ยอมรับว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางนิตินัย แต่การปฏิวัติทุกครั้งก็เพื่อให้สถานการณ์ยุติ แล้วยุติได้หรือไม่ ก็ต้องไปนั่งวิเคราะห์กัน ทุกสถานการณ์ก็จะต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย หากแก้ไม่ได้ก็จะต้องใช้วิธีพิเศษ ส่วนจะเป็นวิธีพิเศษอย่างไรก็จะต้องไปว่ากัน อย่ามาโจมตีทหาร